เมนู

บ่งว่าเป็นกิตก์ แล้วกล่าวว่า พุทฺธาปทานานิ เพื่อสะดวกในการประพันธ์
คาถา. เพราะฉะนั้น บทว่า พุทฺธาปทานานิ มีความหมายว่า อปทาน
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้.
พรรณนาอัพภันตรนิทาน
ในวิสุทธขนวิลาสินี อรรถกถาอทาน
จบเพียงเท่านี้

1. พรรณนาพุทธาปทาน


บัดนี้ พระเถระมีความประสงค์จะกล่าวอรรถกถาอปทาน ในลำดับ
อัพภันตรนิทาน จึงกล่าวไว้ว่า
อปทาน คืออปทานใด แสดงนัยอันวิจิตร พระอรหันตเจ้า
ทั้งหลาย สังคายนาไว้ในขุททกนิกาย บัดนี้ ถึงลำดับแห่ง
การสังวรรณนา เนื้อความแห่งอปทานั้น
ดังนี้.
ก่อนอื่น อปทานใดในคาถานั้น ย่อมถึงการสงเคราะห์ลงในรส
อันเดียวกัน เพราะท่านกล่าวไว้ว่า พระพุทธพจน์ทั้งสิ้นมีรสคือวิมุตติ
เป็นอันเดียวกัน, ย่อมถึงการสงเคราะห์ลงในธรรมที่ท่านสงเคราะห์ไว้ 2
ส่วน ด้วยอำนาจธรรมและวินัย, ในบรรดาปฐมพุทธพจน์ มัชฌิม-
พุทธพจน์ และปัจฉิมพุทธพจน์ ย่อมถึงการสงเคราะห์ลงในมัชฌิม-
พุทธพจน์, ในบรรดาพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรม-
ปิฎก ย่อมถึงการสงเคราะห์ลงในพระสุตตันตปิฎก, ในบรรดานิกาย 5

คือ ทีฆนิกา มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตรนิกาย และขุททก-
นิกาย ย่อมถึงการสงเคราะห์ลงในขุททกนิกาย, ในบรรดานวังคสัตถุศาสน์
คือ สุตตะ เคยยะ ไวยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูต-
ธรรม เวทัลละ ท่านสงเคราะห์ลงในคาถา. ในบรรดาธรรมขันธ์
84,000 พระธรรมขันธ์ ซึ่งท่านพระอานนท์กล่าวไว้อย่างนี้ว่า
ธรรมเหล่าใดที่คล่องปากขึ้นใจของข้าพเจ้า ธรรมเหล่านั้น
มี 84,000 พระธรรมขันธ์ คือที่ข้าพเจ้าเรียกจากพระพุทธเจ้า
82,000 เรียนจากภิกษุ 2,000 พระธรรมขันธ์
ดังนี้.
เป็นอันสงเคราะห์ลงใน 2-3 พระธรรมขันธ์.
บัดนี้ ท่านเมื่อจะแสดงอปทานนั้น จึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้าผู้เป็น
พระธรรมราชาสมบูรณ์ด้วยบารมี 30 ถ้วน มีจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนี้.
ในคำเหล่านั้นมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บารมี 10 ถ้วนนั่นเอง จัดเป็นบารมี 30 ถ้วน ด้วยอำนาจบารมี
10 อุปบารมี 10 และปรมัตถบารมี 10 โดยเป็นอย่างต่ำ อย่างกลาง
และอย่างสูง. ผู้บริบูรณ์ดี คือผู้สมบูรณ์ ประกอบ พร้อมพรั่ง บรรลุ
ประกอบพร้อมด้วยบารมี 10 ถ้วนนั้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ผู้สมบูรณ์
ด้วยบารมี 30 ถ้วน.
ชื่อว่า ราชา เพราะยังหมู่สัตว์ผู้อยู่ในสกลโลกทั้ง 3
และกายของตนให้ยินดี คือไห้ยึดติดด้วยพรหมวิหารสมาบัติ 4 คือ
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือด้วยความเป็นผู้มีจิตเป็นอันเดียว
ด้วยธรรมเครื่องอยู่แห่งผลสมาบัติ, พระราชาโดยธรรม ชื่อว่า
พระธรรมราชา, พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอย่างนี้. อธิบายว่า พระพุทธ-

เจ้าผู้เป็นพระธรรมราชาที่ล่วงไปแล้ว คือ จากไปแล้ว ดับแล้ว ถึงการ
ตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว มีจำนวนนับไม่ได้ คือเว้นจากการนับ ด้วยอำนาจจำนวน
สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน โกฏิ ปโกฏิ โกฏิปโกฏิ นหุต นินนหุต
อักโขภินี พินทุ อัพพุทะ นิรัพพุทะ อหหะ อพพะ อฏฏะ โสคันธิกะ
อุปปละ กุมุทะ ปุณฑริกะ ปทุมะ กถามะ มหากถานะ และอสัง-
เขยยะ1.
พระผู้มีพระภาคเจ้า อันพระอานนทเถระทูลถามถึงอธิการที่พระองค์
ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ทรงทำไว้ ในอดีตพระพุทธเจ้าเหล่านั้น และสมภาร
ที่พระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิทรงทำไว้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า สมฺโพธึ
พุทฺธเสฏฺฐานํ
ดังนี้. อธิบายว่า ดูก่อนอานนท์ผู้เจริญ เธอจงฟังอปทาน
ของเรา. เชื่อมความว่า ดูก่อนอานนท์ ในกาลก่อน คือในกาลบำเพ็ญ
โพธิสมภาร เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ อภิวาทด้วยเศียรเกล้าซึ่งพระ-
สัมโพธิญาณ คือจตุสัจมรรคญาณ หรือพระสัพพัญญุตญาณ ของพระ-
พุทธเจ้าทั้งหลายผู้ประเสริฐ คือผู้แทงตลอดสัจจะ 4. อธิบายว่า เราเอา
นิ้ว 10 นิ้ว คือฝ่ามือทั้งสองนมัสการ คือไหว้พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้เป็น
นายกของโลก คือผู้เป็นใหญ่ในโลก พร้อมทั้งพระสงฆ์ คือเป็นไปกับ
สงฆ์สาวก แล้วอภิวาทด้วยเศียร คือด้วยศีรษะ คือกระทำการสรรเสริญ
ด้วยความเต็มใจ แล้วกระทำการนอบน้อมอยู่.
บทว่า ยาวตา พุทฺธเขตฺเตสุ ความว่า รัตนะทั้ง 7 มีแก้วไพฑูรย์
เป็นต้นที่ตั้งอยู่ในอากาศ คือที่อยู่ในอากาศ ที่ตั้งอยู่บนภาคพื้น คือที่อยู่
บนพื้นของแผ่นดิน นับไม่ถ้วน คือนับไม่ได้ มีอยู่เพียงใด คือมีประมาณ

1. เป็นวิธีนับในคัมภีร์ทางศาสนา โปรดดูคำอธิบายในหนังสือภิธานัปปทีปิกา หน้า 134.

เท่าใด ในพุทธเขตในหมื่นจักรวาล เราเอาใจคือจิตประมวลมาซึ่งรัตนะ
ทั้งหมดนั้น คือจักอธิษฐานจิตนำมาด้วยดี อธิบายว่า เราจะกระทำให้
เป็นกองรอบ ๆ ปราสาทของเรา.
บทว่า ตตฺถ รูปิยภูมิยํ ความว่า นิรมิตพื้นอันสำเร็จด้วยรูปิยะ คือ
สำเร็จด้วยเงิน ในปราสาทหลายชั้นนั้น, อธิบายว่า เรานิรมิตปราสาท
หลายร้อยชั้นอันล้วนแล้วด้วยรัตนะ คือสำเร็จด้วยรัตนะ 7 สูงคือพุ่งขึ้น
เด่นอยู่ในท้องฟ้า คือโชติช่วงอยู่ในอากาศ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะพรรณนาปราสาทนั้นเท่านั้น จึงตรัสว่า
วิจิตฺตถมฺภํ ดังนี้ เป็นต้น. เชื่อมความว่า ปราสาทให้ยกเสามีสีดังแก้วลาย
เป็นต้นมิใช่น้อย วิจิตรงดงาม ทำไว้อย่างดี คือสร้างไว้ดีถูกลักษณะ
จัดแบ่งไว้เรียบร้อยโดยเป็นส่วนสูงและส่วนกว้าง ชื่อว่า ควรมีค่ามาก
เพราะนิรมิตเสาค่ายอันมีค่าหลายร้อยโกฏิไว้. ปราสาทวิเศษอย่างไรอีก
บ้าง? คือปราสาทมีขื่ออันสำเร็จด้วยทอง ได้แก่ ประกอบด้วยขื่อและ
คันทวยอันทำด้วยทอง ประดับแล้ว คืองดงามด้วยนกกะเรียนและฉัตร
ที่ยกขึ้นในปราสาทนั้น.
เมื่อจะทรงพรรณนาความงามของปราสาทโดยเฉพาะซ้ำอีก จึงตรัส
ว่า ปฐมา เวฬุริยา ภูมิ ดังนี้ เป็นต้น . ความว่า ปราสาทซึ่งมีพื้นหลาย
ร้อยชั้นนั้นงดงาม คือน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เสมอเหมือนหมอก
คือ เช่นกับหลืบเมฆฝน ปราศจากมลทิน คือไม่มีมลทิน มีสีเขียว สำเร็จ
ด้วยแก้วไพฑูรย์ อธิบายว่า พื้นชั้นแรกดารดาษ คือสะพรั่งด้วยกอบัว
และดอกปทุมที่เกิดในน้ำ งดงามด้วยกาญจนภูมิ คือพื้นทองอันประเสริฐ
คือสูงสุด.

อธิบายว่า พื้นปราสาทนั้นนั่นแล บางชั้นเป็นส่วนของแก้ว
ประพาฬ คือเป็นโกฏฐาสของแก้วประพาฬ มีสีดังแก้วประพาฬ พื้นบาง
ชั้นแดง คือมีสีแดง พื้นบางชั้นงาม คือเป็นที่ดื่มด่ำใจ มีแสงสว่างดังสี
แมลงค่อมทอง คือเปล่งรัศมีอยู่ พื้นบางชั้นส่องแสงไปทั้ง 10 ทิศ.
ในปราสาทนั้น มีป้อมและศิลาติดหน้ามุขที่จัดไว้ดีแล้ว คือจัดไว้
เรียบร้อย มีสีหบัญชรและสีหทวารที่ทำไว้เป็นแผนก ๆ ตามส่วน. บทว่า
จตุโร เวทิกา ความว่า ที่วลัยของชุกชีและหน้าต่างมีตาข่าย 4 แห่ง มีพวง
ของหอมและช่อของหอมอันเป็นที่รื่นรมย์ใจ คือเป็นที่จับใจ ห้อยย้อยอยู่.
ในปราสาทนั้นแหละ มีเรือนยอดประดับด้วยรัตนะ 7 คืองดงาม
ด้วยรัตนะ 7. มีสีเป็นอย่างไร ? คือเป็นสีเขียว คือมีสีเขียว เป็นสีเหลือง
คือมีสีเหลือง ได้แก่ มีสีเหลืองทอง เป็นสีแดง คือมีสีเหมือนโลหิต
ได้แก่ มีสีแดง เป็นสีขาว คือมีสีขาว ได้แก่ เป็นสีเศวต มีสีดำล้วน
คือมีสีดำไม่มีสีอื่นเจือ อธิบายว่า ปราสาทนั้นประกอบด้วยเรือนยอด
คือประกอบด้วยเรือนยอดอย่างดี และด้วยเรือนยอดมีช่อฟ้าอย่างดี.
ในปราสาทนั้นแหละ มีดอกปทุมชูดอก คือมีดอกตั้งบาน ได้แก่
ดอกปทุมบานสะพรั่งงดงาม อธิบายว่า ปราสาทนั้นงดงามด้วยหมู่เนื้อร้าย
มีสีหะและพยัคฆ์เป็นต้น และงดงามด้วยหมู่ปักษี มีหงส์ นกกะเรียน
และนกยูงเป็นต้น. หมายความว่า ปราสาทนั้นสูงลิ่ว เพราะสูงจรดท้องฟ้า
จึงเกลื่อนกล่นด้วยนักษัตรและดวงดาว ประดับด้วยพระจันทร์ พระ-
อาทิตย์ และรูปพระจันทร์พระอาทิตย์.
อธิบายว่า ปราสาทของพระเจ้าจักรพรรดิหลังนั้นนั่นแหละ ดาดาษ
ด้วยข่ายเหม คือข่ายทอง ประกอบด้วยกระดิ่งทอง คือประกอบด้วยข่าย

กระดิ่งทอง. หมายความว่า ระเบียบดอกไม้ทอง คือถ่องแถวของดอกไม้
ดอกเป็นที่รื่นรมย์ใจ คือเป็นที่จับใจ ย่อมเปล่งเสียง คือย่อมส่งเสียง
เพราะแรงลม คือเพราะลมกระทบ.
ปักธงซึ่งย้อมสี คือระบายด้วยสีต่าง ๆ คือมีสีมิใช่น้อย คือธงสี
หงสบาท ได้แก่ สีฝาง สีแดง คือสีโลหิต เป็นสีเหลือง คือมีสีเหลือง
และธงสีทองและสีเหลืองแก่ ได้แก่ มีสีดังทองชมพูนุท และมีสีเหลืองแก่
คือปักธงสีต่าง ๆ ไว้ในปราสาทนั้น. คำว่า ธชมาลินี นี้ ท่านกล่าว
โดยเป็นลิงควิปลาส อธิบายว่า ปราสาทนั้นประกอบด้วยระเบียบธง.
พระองค์เมื่อจะทรงพรรณนาเครื่องลาดเป็นต้นในปราสาทนั้น จึง
ตรัสว่า น นํ พหู ดังนี้ เป็นต้น. อธิบายว่า ปราสาทนั้นชื่อว่าจะไม่มี
สิ่งของโดยมาก ย่อมไม่มีในปราสาทนั้น. ที่นอนมีเตียงและตั่งเป็นต้น
วิจิตด้วยที่นอนต่าง ๆ คือวิจิตรงดงามด้วยเครื่องลาดมิใช่น้อย มีจำนวน
หลายร้อย คือนับได้หลายร้อย. มีเป็นอย่างไร. คือที่นอนเป็นแก้วผลึก
ได้แก่ ทำด้วยแก้วผลึก ที่สำเร็จด้วยเงิน คือทำด้วยเงิน สำเร็จด้วยแก้ว
มณี คือทำด้วยแก้วมณีเขียว ทำด้วยทับทิม คือทำด้วยแก้วมณีรัตนชาติ
สีแดงโดยกำเนิด สำเร็จด้วยแก้วลาย คือทำด้วยแก้วมณีด่าง คือเพชร
ตาแมว ลาดด้วยผ้ากาสีเนื้อดี คือลาดด้วยผ้ากาสีเนื้อละเอียดอ่อน.
ผ้าห่มชื่อว่า ปาวุรา. ผ้าห่มเป็นเช่นไร ? คือผ้ากัมพล ได้แก่
ผ้าที่ทอด้วยผม ผ้าทุกุละ ได้แก่ ผ้าที่ทอด้วยผ้าทุกุละ ผ้าจีนะ ได้แก่ ผ้า
ที่ทอด้วยฝ้ายจีน ผ้าปัตตุณณะ ได้แก่ ผ้าที่ทอด้วยฝ้ายอันเกิดมีในประเทศ
ปัตตุณณะ เป็นผ้าสีเหลือง คือมีสีเหลือง. อธิบายว่า เราให้ปูลาดเครื่อง

ลาดอันวิจิตร คือที่นอนทั้งหมดอันวิจิตด้วยเครื่องลาด และผ้าห่มมิใช่
น้อยด้วยใจ คือด้วยจิต.
เมื่อจะทรงพรรณนาปราสาทนั้นโดยเฉพาะ จึงตรัสว่า ตาสุ ตาเสฺวว
ภูมีสุ
ดังนี้ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รตนกูฏลงฺกตํ ความว่า
ประดับ คือ งามด้วยยอดอันล้วนด้วยแก้ว คือ ช่อฟ้าแก้ว. บทว่า
มณิเวโรจนา อุกฺกา ความว่า คบเพลิง คือประทีปมีด้ามอันกระทำด้วย
แก้วมณีอันรุ่งเรือง คือแก้วมณีแดง. บทว่า ธารยนฺตา สุติฏฺฐเร
ความว่า คนหลายร้อยยืนทรงไว้ คือถือชูไว้ในอากาศอย่างเรียบร้อย.
เมื่อจะทรงพรรณนาปราสาทนั้นนั่นแหละซ้ำอีก จึงตรัสคำมีอาทิว่า
โสภนฺติ เอสิกาถมฺภา ดังนี้. เสาที่เขาปักไว้ที่ประตูเมือง เพื่อต้องการ
ความงาม ชื่อว่า เสาระเนียด ในคำว่า โสภนฺติ เอสิกาถมฺภา นั้น. ซุ้ม
ประตูงาม คือน่าพึงใจ เป็นซุ้มประตูทอง คือสำเร็จด้วยทอง เป็นทอง
ชมพูนุท คือล้วนแล้วด้วยทองชมพูนุท สำเร็จด้วยไม้แก่น คือทำด้วย
แก่นไม้ตะเคียน และทำด้วยเงิน. อธิบายว่า เสาระเนียดและซุ้มประตู
ทำปราสาทนั้นให้งดงาม.
อธิบายว่า ในปราสาทนั้น มีที่ต่อหลายแห่งจัดไว้เรียบร้อย วิจิตร
คืองามด้วยบานประตูและกลอน เป็นวงรอบของที่ต่องดงามอยู่. บทว่า
อุภโต ได้แก่ สองข้างปราสาทนั้น มีหม้อเต็มน้ำ ประกอบคือเต็มวัย
ปทุมมิใช่น้อย และอุบลมิใช่น้อย ทำปราสาทนั้นให้งดงาม.
ครั้นทรงพรรณนาความงามของปราสาทอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรง
ประกาศปราสาทที่ทำด้วยรัตนะ และสักการะสัมมานะ การนับถือยกย่อง
จึงตรัสคำมีอาทิว่า อตีเต สพฺพพุทฺเธ จ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตีเต ความว่า ในกาลอันล่วงไปแล้ว
คือผ่านไปแล้ว เรานิรมิตพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลกทุกองค์ พร้อม
ทั้งพระสงฆ์ คือเป็นไปกับหมู่สาวกที่เกิดมีมาแล้ว และพระพุทธเจ้า
พร้อมทั้งสาวก คือมีพระสาวก โดยมีวรรณ รูปโฉมและทรวดทรงตาม
ปกติโดยสภาวะ พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสาวกทุกพระองค์ เสด็จเข้าไป
ยังปราสาททางประตูที่จะต้องเสด็จเข้าไป ประทับนั่งบนตั่งอันทำด้วยทอง
ล้วน ๆ คือล้วนแล้วด้วยทองทั้งหมด เป็นอริยมณฑล คือเป็นหมู่พระ-
อริยะ.
อธิบายว่า ในบัดนี้ คือในปัจจุบัน เราได้ให้พระพุทธเจ้าผู้ยอด
เยี่ยม คือไม่มีผู้ยิ่งกว่าซึ่งมีอยู่ และพระปัจเจกพุทธเจ้าหลายร้อยองค์ผู้
เป็นสยัมภู คือผู้เป็นเองไม่มีคนอื่นเป็นอาจารย์ ผู้ไม่พ่ายแพ้ คือผู้อัน
ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวบุตรมารทำให้
แพ้ไม่ได้ ผู้บรรลุชัยชนะ ให้อิ่มหนำแล้ว. พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ใน
อดีตกาลและปัจจุบันกาล พากันเสด็จขึ้น อธิบายว่า พากันเสด็จขึ้นสู่
ภพ คือปราสาทของเราอย่างดี.
เชื่อมความว่า ต้นกัลปพฤกษ์เหล่าใดที่เป็นทิพย์ คือเกิดในเทวโลก
มีอยู่มาก และต้นกัลปพฤกษ์เหล่าใดที่เป็นของมนุษย์ คือเกิดในมนุษย์
มีอยู่เป็นอันมาก เรานำเอาผ้าทั้งหมดจากต้นกัลปพฤกษ์เหล่านั้น แล้ว
ให้ทำเป็นไตรจีวร แล้วให้พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นครองไตรจีวร.
ครั้นให้นุ่งห่มไตรจีวรอย่างนี้แล้ว เอาของเคี้ยวคือของอย่างใด
อย่างหนึ่งมีขนมเป็นต้นที่ควรเคี้ยว อันถึงพร้อมแล้วคือมีรสอร่อย ของควร
บริโภคคืออาหารที่ควรบริโภคอันอร่อย ของควรลิ้มคือของที่ควรเลียกิน

อันอร่อย ของควรดื่มคือน้ำปานะ 8 อย่างที่สมบูรณ์คืออร่อย และโภชนะ
คืออาหารที่ควรกิน บรรจุให้เต็มที่ในบาตรมณีมัย คือทำด้วยศิลาอันงาม
คือดี แล้วถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นผู้นั่งลงแล้ว อธิบายว่า
นิมนต์ให้รับเอาแล้ว.
อริยมณฑลทั้งหมดนั้น คือหมู่พระอริยเจ้าทั้งหมดนั้น เป็นผู้มี
ทิพยจักษุเสมอกัน เป็นผู้เกลี้ยงเกลา อธิบายว่า เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วย
ทิพยจักษุ เป็นผู้เกลี้ยงเกลา คือเป็นผู้สละสลวย คืองดงาม เพราะเว้น
จากกิเลสทั้งปวง ครองจีวร คือเป็นผู้พรั่งพร้อมกันด้วยไตรจีวร เป็น
ผู้อันเราให้อิ่มหนำสำราญบริบูรณ์ด้วยของหวาน น้ำตาลกรวด น้ำมัน
น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และข้าวชั้นดี.
หมู่พระอริยเจ้าเหล่านั้นอันเราให้อิ่มหนำอย่างนี้แล้ว เข้าสู่ห้องแก้ว
คือเรือนมีห้องอันนิรมิตด้วยรัตนะทั้ง 7 แล้วสำเร็จสีหไสยาบนที่นอนอัน
มีค่ามาก คือบนเตียงอันหาค่ามิได้ ดุจไกรสรราชสีห์มีถ้ำเป็นที่อยู่อาศัย
คือนอนอยู่ในถ้ำฉะนั้น อธิบายว่า สีหมฤคราชนอนตะแคงข้างขวา
ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า เอาเท้าขวาทำเป็นที่หนุนศีรษะ วางเท้าซ้ายทอดไป
ตรง ๆ เอาหางซุกไว้ในระหว่างหัวไส้ แล้วนิ่ง ๆ ฉันใด หมู่พระ-
อริยเจ้าทั้งหลายก็สำเร็จ คือกระทำการนอน ฉันนั้น.
อธิบายความว่า หมู่พระอริยเจ้าเหล่านั้น ครั้นสำเร็จสีหไสยาอย่าง
นี้แล้ว รู้ตัวอยู่คือสมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ ลุกขึ้นแล้วคือลุกขึ้นอย่าง
เรียบร้อย แล้วคู้บัลลังก์บนที่นอน คือทำการนั่งทำขาอ่อนให้แนบ
ติดกันไป.

บทว่า โคจรํ สพฺพพุทฺธานํ ความว่า เป็นผู้เพียบพร้อมด้วย
ความยินดีในฌาน คือเป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยความยินดีในฌาน อันเป็น
โคจร คืออารมณ์ของพระพุทธเจ้าทั้งปวงทั้งที่ล่วงไปแล้วและที่ยังไม่มา.
บทว่า อญฺเญ ธมฺมานิ เทเสนฺติ ความว่า บรรดาพระปัจเจกพุทธเจ้า
เหล่านั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าพวกหนึ่ง คือบางพวกแสดงธรรม อีก
พวกหนึ่งเล่นคือรื่นรมย์ด้วยฤทธิ์ คือด้วยการเล่นฌานมีปฐมฌานเป็นต้น.
ความอธิบายต่อไปว่า บางพวกอบรมอภิญญา คืออภิญญา 5
ให้เชี่ยวชาญ คือทำให้ชำนาญ คือบรรดาอภิญญา 5 ย่อมถึง คือเข้า
อภิญญาอันไปคือถึง บรรลุความชำนาญ ด้วยความชำนาญ 5 ประการ
กล่าวคือการนึก การเข้า การออก การหยุดยืน และการพิจารณา.
บางพวกแผลงฤทธิ์ คือทำการแผลงฤทธิ์ให้เป็นหลายพันคน ได้แก่
แผลงฤทธิ์มีอาทิอย่างนี้ คือแม้คนเดียวทำให้เป็นหลายคน แม้หลายคน
ทำให้เป็นคนเดียวก็ได้.
บทว่า พุทฺธาปิ พุทฺเธ ความว่า เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
ประชุมกันอย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมถามพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ถึงปัญหาอันเป็นวิสัย คือเป็นอารมณ์ของพระสัพพัญพัญญุตญาณ พระ-
พุทธเจ้าเหล่านั้นย่อมตรัสรู้แจ้งจริง คือตรัสรู้โดยพิเศษไม่มีส่วนเหลือ ซึ่ง
ฐานะคือเหตุ ที่ชื่อว่าลึกซึ้ง เพราะลึกซึ่งโดยอรรถ อันละเอียดคือสุขุมด้วย
พระปัญญา.
ในกาลนั้น แม้พระสาวกทั้งหลายผู้ประชุมกันอยู่ในปราสาทของเรา
ย่อมถามปัญหากะพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ถาม

ปัญหากะสาวกดือศิษย์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าและพระสาวกเหล่านั้น ต่าง
ถามปัญหากันและกัน ต่างพยากรณ์คือแก้ปัญหากันและกัน.
เมื่อจะทรงแสดงพระพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น โดยมีภาวะเป็นอย่างเดียว
กันอีก จึงตรัสคำมีอาทิว่า พุทฺธา ปจฺเจกพุทฺธา จ ดังนี้. ในคำนั้น
มีอธิบายว่า พระพุทธเจ้าได้แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
พระสาวกคือศิษย์ และผู้ปรนนิบัติคือนิสิต ทั้งหมดนี้ยินดีอยู่ด้วยความ
ยินดีของตน ๆ เร้นอยู่ ย่อมอภิรมย์อยู่ในปราสาทของเรา.
พระเจ้าติโลกวิชัยจักรพรรดิราชนั้น ครั้นทรงแสดงอาจารสมบัติ
ของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ในเวชยันตปราสาทของพระองค์อย่างนี้
แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงอานุภาพของพระองค์ จึงตรัสคำมีอาทิว่า
ฉตฺตา ติฏฺฐนฺติ รตนา ดังนี้. ในคำนั้น มีอธิบายว่า ฉัตรแก้ว อัน
ล้วนแล้วไปด้วยแก้ว 7 ประการ มีพวงมาลัยทองเป็นทิวแถว คือห้อย
ตาข่ายทองอยู่ประจำ. ฉัตรทั่งหลายวงด้วยข่ายแก้วมุกดา คือล้อมด้วย
ข่ายแก้วมุกดา เพียงแต่คิดว่า ฉัตรทุกชนิดจงกั้นอยู่เหนือกระหม่อมคือ
ศีรษะเรา ก็ย่อมปรากฏขึ้น.
เพดานผ้าวิจิตด้วยดาวทอง คือแวววาวด้วยดาวทองจงมี คือจง
บังเกิดขึ้น. อธิบายว่า เพดานมิใช่น้อยทุกชนิด วิจิตรคือมีสีหลายอย่าง
ดาษด้วยมาลัย คือแผ่ไปด้วยดอกไม้ จงกั้นอยู่เหนือกระหม่อม คือส่วน
เบื้องบนแห่งที่เป็นที่นั่ง.
เชื่อมความว่า สระโบกขรณีดาดาษ คือกลาดเกลื่อนด้วยพวงดอกไม้
คือพวงของหอมและดอกไม้หลายอย่าง งดงามด้วยพวงของหอม คือ
พวงสุคนธชาติมีจันทน์ หญ้าฝรั่นและกฤษณาเป็นต้น. อธิบายว่า สระ-

โบกขรณีเกลื่อนกล่นด้วยพวงผ้า คือพวงผ้าอันหาด่ามิได้ มีผ้าปัตตุณณะ
และผ้าจีนะเป็นต้น ประดับตกแต่งด้วยพวงรัตนะทั้ง 7. ดาดาษด้วย
ดอกไม้ คือดาดาษด้วยดอกไม้หอมมีจำปา สฬละ และจงกลนีเป็นต้น
วิจิตรงดงามด้วยดี. สระโบกขรณีมีอะไรอีกบ้าง ? คือสระโบกขรณีอบ
อวลด้วยสุคนธชาติอันมีกลิ่นหอมน่าพอใจยิ่ง. เจิมด้วยของหอมไว้โดยรอบ
คือประดับด้วยของหอมที่เอานิ้วทั้ง 5 ไล้ทาไว้ สระโบกขรณีอันมีอยู่ใน
ทิศทั้ง 4 ของปราสาท มุ่งด้วยเครื่องมุงเหมคือมุงด้วยเครื่องมุงอันเป็น
ทอง และเพดานทอง ดาดาษแผ่เต็มไปด้วยปทุมและอุบล ปรากฏเป็น
สีทองในรูปทอง สระโบกขรณีฟุ้งไปด้วยละอองเรณูของดอกปทุม คือ
ขจรขจายไปด้วยละอองธุลีของดอกปทุม งดงามอยู่.
รอบ ๆ เวชยันตปราสาทของเรา มีต้นไม้มีต้นจำปาเป็นต้นออก
ดอกทุกต้น นี้เป็นต้นไม้ดอก. ดอกไม้ทั้งหลายหล่นมาเองแล้วลอยไป
โปรยปราสาท อธิบายว่า โปรยลงเบื้องบนปราสาท.
มีอธิบายว่า ในเวชยันตปราสาทของเรานั้น มีนกยูงฟ้อน มีหมู่
หงส์ทิพย์ คือหงส์เทวดาส่งเสียงร้อง หมู่นกการวิก คือโกกิลาที่มีเสียง
เพราะขับขาน คือทำการขับร้อง และหมู่นกอื่น ๆ ที่ไม่สำคัญ ก็ร่ำร้อง
ด้วยเสียงอัน ไพเราะอยู่โดยรอบปราสาท.
รอบ ๆ ปราสาท มีกลองขึงหนังหน้าเดียวและกลองขึงหนังสอง-
หน้าเป็นต้นทั้งหมดได้ดังขึ้น คือได้ตีขึ้น พิณนั้นทั้งหมดซึ่งมีสายมิใช่น้อย
ได้ดีดขึ้น คือส่งเสียง. สังคีตทุกชนิด คือเป็นอเนกประการ จงเป็นไป
คือจงบรรเลง อธิบายว่า จงขับขานขึ้น.

ในพุทธเขตมีกำหนดเพียงใด คือในที่มีประมาณเท่าใด ได้แก่
ในหมื่นจักรวาล และในจักรวาลอื่นจากหมื่นจักรวาลนั้น บัลลังก์ทอง
สมบูรณ์ด้วยความโชติช่วง คือสมบูรณ์ด้วยรัศมี ไม่มีช่องว่าง ใหญ่โต
สำเร็จด้วยรัตนะทั่วทุกด้าน คือเขาทำขจิตด้วยรัตนะทั้ง 7 จงตั้งอยู่ ต้นไม้
ประดับประทีป คือต้นไม้มีน้ำมันตามประทีปจงลุกเป็นไฟโพลงอยู่ คือ
สว่างด้วยประทีปรอบ ๆ ปราสาท. เป็นไม้ประทีปติดต่อกันไปเป็นหมื่นดวง
คือเป็นหมื่นดวงติดต่อกันกับหมื่นดวง จงเป็นประทีปรุ่งเรื่องเป็นอัน
เดียวกัน คือเป็นประดุจประทีปดวงเดียวกัน อธิบายว่า จงลุกโพลง.
หญิงคณิกาคือหญิงฟ้อนผู้ฉลาดในการฟ้อนและการขับ หญิงขับร้อง
คือผู้ทำเสียงด้วยปาก จงฟ้อนไปรอบ ๆ ปราสาท. หมู่นางอัปสรคือหมู่
หญิงเทวดา จงฟ้อนรำ. สนามเต้นรำต่าง ๆ คือมณฑลสนามเต้นรำ
ต่าง ๆ มีสีเป็นอเนกประการ จงฟ้อนรำรอบ ๆ ปราสาท ชื่อว่าเขา
เห็นกันทั่วไป อธิบายว่า จงปรากฏ.
อธิบายว่า ในครั้งนั้น เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดินามว่าติโลกวิชัย
ให้ยกธงทั้งปวงมี 5 สี คือมีสี 5 สี มีสีเขียวและสีเหลืองเป็นต้น วิจิตร
คืองดงามด้วยสีหลายหลาก บนยอดไม้ บนยอดเขา คือยอดเขาหิมพานต์
และเขาจักรวาลเป็นต้น บนยอดเขาสิเนรุ และในที่ทั้งปวง ในจักรวาล
ทั้งสิ้น.
อธิบายว่า พวกคนคือคนจากโลกอื่น พวกนาคจากโลกนาค
พวกคนธรรพ์และเทวดาจากเทวโลก ทั้งหมดจงมาคือจงเข้ามา. พวก
คนเป็นต้นเหล่านั้นนมัสการ คือทำการนอบน้อมเรา กระทำอัญชลี คือ
ทำกระพุ่มมือ แวดล้อมเวชยันตปราสาทของเรา.

พระเจ้าจักรพรรดิติโลกวิชัยนั้น ครั้นพรรณนาอานุภาพปราสาท
และอานุภาพของตนอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะให้ถือเอาผลบุญที่คนทำไว้
ด้วยสมบัติ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ยํ กิญฺจิ กุสลํ กมฺมํ ดังนี้. อธิบายว่า
กิริยากล่าวคือกุศลกรรมอย่างไดอย่างหนึ่งที่จะพึงการทำมีอยู่ กุศลกรรม
ที่จะพึงทำทั้งหมดนั้น เราทำแล้วด้วยกาย วาจา และใจ คือด้วยไตร-
ทวาร ให้เป็นอันทำดีแล้ว คือให้เป็นอันทำด้วยดีแล้วในไตรทศ อธิบายว่า
กระทำให้ควรแก่การเกิดขึ้นในภพดาวดึงส์.
เมื่อจะให้ถือเอาอีกจึงกล่าวว่า เย สตฺตา สญฺณิโน ดังนี้เป็นต้น
ในคำนั้นมีอธิบายว่า สัตว์เหล่าใด จะเป็นมนุษย์ เทวดาหรือพรหมก็ตาม
ที่มีสัญญา คือประกอบด้วยสัญญามีอยู่ และสัตว์เหล่าใดที่ไม่มีสัญญา คือ
เว้นจากสัญญา ได้แก่สัตว์ผู้ไม่มีสัญญาย่อมมีอยู่ สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดจง
เป็นผู้มีส่วนบุญที่เรากระทำแล้ว คือจงเป็นผู้มีบุญ
พระโพธิสัตว์เมื่อจะให้ถือเอาแม้อีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เยสํ กตํ
ดังนี้. อธิบายว่า บุญที่เราทำแล้วอันชน นาค คนธรรพ์และเทพเหล่าใด
รู้ดีแล้วคือทราบแล้ว เราให้ผลบุญแก่นรชนเป็นต้นเหล่านั้น นรชน
เป็นต้นเหล่าใด ไม่รู้ว่าเราให้บุญที่เราทำแล้วนั้น เทพทั้งหลายจงไปแจ้ง
ให้รู้ อธิบายว่า จงบอกผลบุญนั้นแก่นรชนเป็นต้นเหล่านั้น.
สัตว์เหล่าใดในโลกทั้งปวงผู้อาศัยอาหารเลี้ยงชีวิต สัตว์เหล่านั้น
ทั้งหมดจงได้โภชนะอันพึงใจทุกอย่างด้วยใจของเรา คือด้วยจิตของเรา
อธิบายว่า จงได้ด้วยบุญฤทธิ์ของเรา.
ทานใดเราได้ให้แล้ว ด้วยจิตใจอันเลื่อมใส เรานำมาแล้ว คือยัง
ความเลื่อมใสให้เกิดขึ้นแล้ว ในทานนั้นด้วยจิตใจ. พระสัมพุทธเจ้าทุก

พระองค์ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า และพระสาวกของพระชินเจ้า เราผู้
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้บูชาแล้ว.
ด้วยกรรมที่เราทำดีแล้วนั้น คือด้วยกุศลกรรมที่เราเชื่อแล้วกระทำ
ไว้ และด้วยการตั้งเจตนาไว้ คือด้วยความปรารถนาที่ทำไว้ด้วยใจ เรา
ละคือทิ้งร่างกายมนุษย์ ได้แก่สรีระของมนุษย์ แล้วได้ไปสู่ดาวดึงส-
เทวโลก อธิบายว่า เราได้เกิดขึ้นในดาวดึงสเทวโลกนั้น เหมือนหลับ
แล้วตื่นขึ้นฉะนั้น.
แต่นั้น พระเจ้าจักรพรรดิติโลกวิชัยได้สวรรคตแล้ว จำเดิมแต่นั้น
เรารู้จักภพ 2 ภพ คือชาติ 2 ชาติที่มาถึง คือความเป็นเทวดา ได้แก่
อัตภาพของเทวดา และความเป็นมนุษย์ คืออัตภาพของมนุษย์. นอกจาก
2 ชาติ เราไม่รู้จัก คือไม่เห็นคติอื่น คือความอุปบัติอื่น อันเป็นผลแห่ง
ความปรารถนาด้วยใจคือด้วยจิต อธิบายว่า เป็นผลแห่งความปรารถนา
ที่เราปรารถนาแล้ว.
บทว่า เทวานํ อธิโก โหมิ ความว่า ถ้าเกิดในเทวดา เราได้
เป็นผู้ยิ่งคือเป็นใหญ่ ได้แก่เป็นผู้ประเสริฐสุดกว่าเทวดาทั้งหลาย ด้วย
อายุ วรรณะ พละ และเดช. ถ้าเกิดในมนุษย์ เราย่อมเป็นใหญ่ใน
มนุษย์ คือเป็นอธิบดี เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ทั้งหลาย อนึ่ง เราเป็นพระ-
ราชาผู้เพียบพร้อม คือสมบูรณ์ด้วยรูปอันยิ่ง คือด้วยรูปสมบัติ และด้วย
ลักษณะ คือลักษณะส่วนสูงและส่วนใหญ่ ไม่มีผู้เสมอ คือเว้นคนผู้เสมอ
ด้วยปัญญา ได้แก่ปัญญาเครื่องรู้ปรมัตถ์ในภพที่เกิดแล้ว ๆ อธิบายว่า
ไม่มีใคร ๆ เสมอเหมือนเรา.

เพราะผลบุญอันเป็นบุญสมภารที่เรากระทำไว้แล้ว โภชนะอัน
ประเสริฐอร่อยมีหลายอย่างคือมีประการต่าง ๆ รัตนะทั้ง 7 มากมายมี
ประมาณไม่น้อย และผ้าปัตตุณณะและผ้าโกเสยยะเป็นต้นหลายชนิด คือ
เป็นอเนกประการ จากฟากฟ้าคือนภากาศมา คือเข้ามาหาเรา ได้แก่สำนัก
เราโดยเร็วพลัน ในภพที่เกิดแล้ว ๆ.
เราเหยียดคือชี้มือไปยังที่ใด ๆ จะเป็นที่แผ่นดิน บนภูเขา บน
อากาศ ในน้ำ และในป่า ภักษาทิพย์คืออาหารทิพย์ย่อมเข้ามา คือ
เข้ามาหาเรา ได้แก่สำนักเราจากที่นั้น ๆ อธิบายว่า ย่อมปรากฏขึ้น.
อนึ่ง รัตนะทั้งปวง ของหอมมีจันทน์เป็นต้นทุกอย่าง ยานคือพาหนะ
ทุกชนิด มาลาคือดอกไม้ทั้งหมดมีจำปา กากะทิงและบุนนาคเป็นต้น
เครื่องอลังการคือเครื่องอาภรณ์ทุกชนิด นางทิพกัญญาทุกนาง น้ำผึ้ง
และน้ำตาลกรวดทุกอย่าง ของเคี้ยวคือของควรเคี้ยวมีขนมเป็นต้นทุกชนิด
ย่อมเข้ามา คือย่อมเข้ามาหาเราคือสำนักเราโดยลำดับ.
บทว่า สมฺโพธิวรปตฺติยา แปลว่า เพื่อต้องการบรรลุมรรคญาณ
ทั้ง 4 อันสูงสุด. อธิบายว่า เราได้กระทำ คือบำเพ็ญอุดมทานใด เพราะ
อุดมทานนั้น เรากระทำภูเขาหินให้บันลือเป็นอันเดียวกันทั้งสิ้น ให้
กระหึ่มเสียงดัง คือเสียงกึกก้องมากมาย ยังโลกพร้อมทั้งเทวโลก ได้แก่
มนุษยโลกและเทวโลกทั้งสิ้นให้ร่าเริง คือทำให้ถึงความโสมนัส จะได้
เป็นพระพุทธเจ้าผู้มีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้วในโลก คือในสกลโลก
ทั้ง 3.
บทว่า ทิสา ทสวิธา โลเก ความว่า ในจักรวาลโลก มีทิศ
อยู่ 10 อย่าง คือ 10 ส่วน ที่สุดย่อมไม่มีแก่ผู้ไป คือผู้ดำเนินไปอยู่

ในส่วนนั้น. ครั้งเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ในที่ที่เราไปแล้ว ๆ หรือใน
ทิศาภาคนั้น มีพุทธเขตคือพุทธวิสัยนับไม่ถ้วน คือยกเว้นการนับ.
บทว่า ปภา ปกิตฺติตา ความว่า ในกาลเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ครั้งนั้น รัศมีของเรา รัศมีคือแสงสว่างของจักรแก้ว และแก้วมณีเป็นต้น
นำรัศมีมา คือเปล่งรัศมีเป็นคู่ ๆ ปรากฏแล้ว ในระหว่างนี้ คือใน
ระหว่างหมื่นจักรวาล มีข่ายคือหมู่รัศมีได้มีแสงสว่างกว้างขวาง คือ
มากมาย.
บทว่า เอตฺตเก โลกธาตุมฺหิ ความว่า ในหมื่นจักรวาล ชนทั้งปวง
ย่อมดู คือเห็นเรา. เทวดาทั้งปวงจนกระทั่งเทวโลกจงอนุวรรตน์ตาม คือ
เกื้อกูลเรา.
บทว่า วิสิฏฺฐมธุนาเทน แปลว่า ด้วยเสียงบันลืออันไพเราะสละ
สลวย. บทว่า อมตเภริมาหนึ แปลว่า เราตีกลองอมตเภรี ได้แก่
กลองอันประเสริฐ. ชนทั้งปวงในระหว่างนี้ คือระหว่างหมื่นจักรวาลนี้
จงฟัง คือจงใส่ใจวาจาที่เปล่งคือเสียงอันไพเราะของเรา.
เมื่อฝนคือธรรมตกลง คือเมื่อฝนมีอรรถอันเป็นปรมัตถ์ ลึกซึ้ง
ไพเราะ สุขุม อันเป็นโวหารของพระธรรมเทศนานั้น ตกลงมาด้วยการ
บันลืออันล้วนแล้วด้วยพระธรรนเทศนา ภิกษุและภิกษุณีเป็นต้นทั้งหมด
จงเป็นผู้ไม่มีอาสวะคือไม่มีกิเลส ด้วยอานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
บทว่า เยตฺถ ปจฺฉิมกา สตฺตา มีอธิบายว่า บรรดาสัตว์คือบริษัท 4
อันเป็นหมวดหมู่นี้ สัตว์เหล่าใดเป็นปัจฉิมกสัตว์ คือเป็นผู้ต่ำสุดด้วย
อำนาจคุณความดี สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด จงเป็นพระโสดาบัน.

ในคราวเป็นพระเจ้าจักรพรรดิโลกวิชัยนั้น เราได้ให้ทานที่ควร
ให้ บำเพ็ญศีลบารมีโดยไม่เหลือ บรรลุถึงบารมี คือที่สุดในเนกขัม
คือเนกขัมมบารมี พึงเป็นผู้บรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด คือมรรคญาณ
ทั้ง 4.
เราสอบถามบัณฑิต คือนักปราชญ์ผู้มีปัญญา คือถามว่า ท่านผู้
เจริญ อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล
คนทำอะไรจึงจะเป็นผู้มีส่วนแห่งสวรรค์และนิพพานทั้งสอง อธิบายว่า
บำเพ็ญปัญญาบารมี ด้วยประการอย่างนี้. บทว่า กตฺวา วีริยมุตฺตมํ
ได้แก่ การทำความเพียรอันสูงสุด คือ ประเสริฐสุด ได้แก่ ไม่ขาดตอน
ในการยืนและการนั่งเป็นต้น อธิบายว่า บำเพ็ญวิริยบารมี. เราถึงบารมี
คือที่สุดแห่งอธิวาสนขันติที่คนร้ายทั้งสิ้นไม่ทำความเอื้อเฟื้อ คือได้บำเพ็ญ
ขันติบารมีแล้ว พึงบรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุด คือความเป็นพระ-
พุทธเจ้าอันอุดม.
บทว่า กตฺวา ทฬฺหมธิฏฺฐานํ ความว่า เรากระทำอธิษฐานบารมี
มั่นโดยไม่หวั่นไหวว่า แม้เมื่อสรีระและชีวิตของเราจะพินาศไป เราจัก
ไม่งดเว้นบุญกรรม บำเพ็ญที่สุดแห่งสัจบารมีว่า แม้เมื่อศีรษะจะขาด เรา
จักไม่กล่าวมุสาวาท ถึงที่สุดแห่งเมตตาบารมี โดยนัยมีอาทิว่า สัตว์
ทั้งหลายทั้งปวงจงเป็นผู้มีความสุข ไม่มีโรคป่วยไข้ แล้วบรรลุพระสัม-
โพธิญาณอันสูงสุด.
เราเป็นผู้เสมอ คือมีใจเสมอในอารมณ์ทั้งปวง คือในการได้สิ่งมี
ชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต ในการไม่ได้สิ่งเหล่านั้น ในสุขทางกายและทางใจ
ในทุกข์เช่นนั้นคือที่เป็นไปทางกายและทางใจ ในการยกย่องที่ชนผู้มี

ความเอื้อเฟื้อกระทำ และในการดูหมิ่น บำเพ็ญอุเบกขาบารมี บรรลุแล้ว
อธิบายว่า พึงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด.
ท่านทั้งหลายจงเห็นคือรู้ความเกียจคร้าน คือความเป็นผู้เกียจคร้าน
โดยความเป็นภัย คือโดยอำนาจว่าเป็นภัยว่า มีส่วนแห่งอบายทุกข์ เห็น
คือรู้ความไม่เกียจคร้าน คือความเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน ความประพฤติอัน
ไม่หดหู่ ชื่อว่าความเพียรโดยความเกษม คือโดยอำนาจความเกษมว่า มี
ปกติให้ไปสู่นิพพาน แล้วจงเป็นผู้ปรารภความเพียร. นี้เป็นพุทธานุสาสนี
คือนี้เป็นความพร่ำสอนของพระพุทธเจ้า.
บทว่า วิวาทํ ภยโต ทิสฺวา ความว่า ท่านทั้งหลายจงเห็นความวิวาท
คือการทะเลาะโดยความเป็นภัย เห็นคือรู้ว่า ความวิวาทมีส่วนแห่งอบาย
และเห็นคือรู้ความไม่วิวาท คือความงดเว้นจากการวิวาทว่าเป็นเหตุให้
บรรลุพระนิพพาน แล้วจงเป็นผู้สมัครสมานกัน คือมีจิตมีอารมณ์เลิศ
เป็นอันเดียว เป็นผู้มีวาจาอ่อนหวาน คือสละสลวย งดงามด้วยเมตตา
อันดำเนินไปในธุระหน้าที่. กถาคือการเจรจา การกล่าวนี้เป็นอนุสาสนี
คือเป็นการให้โอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
ท่านทั้งหลายจงเห็น คือจงรู้ความประมาท คือการอยู่โดยปราศจาก
สติ ในการยืนและการนั่งเป็นต้น โดยความเป็นภัยว่า เป็นเหตุให้เป็นไป
เพื่อความทุกข์ ความเป็นผู้มีรูปชั่วและความเป็นผู้มีข้าวน้ำน้อยเป็นต้น
และเป็นเหตุให้ไปสู่อบายเป็นต้น ในสถานที่เกิดแล้ว ๆ แล้วจงเห็นคือ
จงรู้อย่างชัดแจ้งถึงความไม่ประมาท คือการอยู่ด้วยสติในอิริยาบถทั้งปวง
โดยเป็นความเกษม คือโดยความเจริญว่า เป็นเหตุเครื่องบรรลุพระ-
นิพพาน แล้วจงอบรม คือจงเจริญ จงใส่ใจถึงมรรคมีองค์ 8 คือมรรค

ได้แก่อุบายเครื่องบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ อันมีองค์ประกอบ 8 อย่าง
คือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ. กถาคือการกล่าว ได้แก่การ
เจรจา การเปล่งวาจา นี้เป็นพุทธานุสาสนี อธิบายว่า เป็นความพร่ำสอน
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
บทว่า สมาคตา พหู พุทฺธา ความว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
นับได้หลายแสนมาพร้อมกันแล้ว คือเป็นผู้ประชุมกันแล้ว และพระ-
อรหันตขีณาสพทั้งหลายมาพร้อมกันแล้ว คือเป็นผู้ประชุมกันแล้วโดย
ประการทั้งปวง ได้แก่โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลาย
จงนอบน้อม คือจงนมัสการกราบไหว้ ด้วยการกระทำความนอบน้อม
ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่ ซึ่งพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นผู้ควร
แก่การกราบไหว้.
ด้วยประการฉะนี้ คือด้วยประการดังเรากล่าวมาแล้วนี้ พระพุทธ-
เจ้าทั้งหลายเป็นอจินไตย คือใคร ๆ ไม่พึงอาจเพื่อจะคิด. ธรรมทั้งหลาย
มีอาทิ คือสติปัฏฐาน 4 ฯลฯ มรรคมีองค์ 8 ขันธ์ 5 เหตุปัจจัย
อารัมมณปัจจัยเป็นต้น ชื่อว่า พุทธธรรม. อีกอย่างหนึ่ง สภาวะแห่งพระ-
พุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอจินไตย คือใคร ๆ ไม่อาจเพื่อจะคิด วิบากกล่าวคือ
เทวสมบัติ มนุษย์สมบัติ และนิพพานสมบัติ ของเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลายผู้เลื่อมใสในสิ่งที่เป็นอจินไตย คือในสิ่งที่พ้นจากวิสัยของการคิด
ย่อมเป็นอันใคร ๆ ไม่อาจคิด คือล่วงพ้นจากการที่จะนับจำนวน.
ก็ด้วยลำดับคำมีประมาณเท่านี้ อุปมาเหมือนคนเดินทาง เมื่อใครๆ
ถูกเขาถามว่า ขอจงบอกทางแก่เรา ก็บอกว่า จงละทางซ้ายถือเอาทาง

ขวา ดังนี้แล้วก็ทำกิจที่ควรทำในคามนิคม และราชธานีให้สำเร็จโดยทาง
นั้น แม้จะไปใหม่อีกตามทางซ้ายมือสายอื่นที่เขาไม่ได้เดินกัน ก็ย่อม
ทำกิจที่ควรทำในคามและนิคมเป็นต้นให้สำเร็จได้ ฉันใด พุทธาปทาน
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ครั้นให้สำเร็จได้ด้วยอปทานที่เป็นฝ่ายกุศลแล้ว เพื่อ
ที่จะให้พุทธาปทานนั้นนั่นแลพิสดารออกไป ด้วยอำนาจอปทานที่เป็น
ฝ่ายอกุศลบ้าง จึงตั้งหัวข้อปัญหาไว้ดังนี้ว่า
การทำทุกรกิริยา 1 การกล่าวโทษ 1 การด่าว่า 1 การ
กล่าวหา 1 การถูกศิลากระทบ 1 การเสวยเวทนาจากสะเก็ด
หิน 1
การปล่อยช้างนาฬาคิรี 1 การถูกผ่าตัดด้วยศัสตรา 1 การ
ปวดศีรษะ 1 การกินข้าวแดง 1 ความเจ็บปวดสาหัสที่
กลางหลัง 1 การลงโลหิต 1 เหล่านี้เป็นเหตุฝ่ายอกุศล.

บรรดาข้อปัญหาเหล่านั้น ปัญหาข้อที่ 1 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
การทำทุกรกิริยาอยู่ถึง 6 พรรษา ชื่อว่า ทำทุกรกิริยา. ในกาล
แห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นพราหมณ์
มาณพชื่อว่า โชติปาละ โดยที่เป็นชาติพราหมณ์จึงไม่เลื่อมใสในพระ-
ศาสนา เพราะวิบากของกรรมเก่าแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
เขาได้ฟังว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ. จึงได้กล่าวว่า การตรัสรู้ของ
สมณะโล้นจักมีมาแต่ที่ไหน การตรัสรู้เป็นของที่ได้โดยยากยิ่ง เพราะ
วิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์นั้นจึงได้เสวยทุกข์มีนรกเป็นต้นหลาย
ร้อยชาติ ถัดมาจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นนั่นแหละ เขาทำ
ชาติสงสารให้สิ้นไปด้วยกรรมที่ได้พยากรณ์ไว้นั้นนั่นแล ในตอนสุดท้าย

ได้อัตภาพเป็นพระเวสสันดร จุติจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในภพดุสิต.
จุติจากภพดุสิตนั้นด้วยการอาราธนาของเหล่าเทวดา บังเกิดในสักยตระกูล
เพราะญาณแก่กล้าจึงละทิ้งราชสมบัติในสกลชมพูทวีปเสีย แล้วตัดกำ
พระเกศาให้มีปลายเสมอกัน ด้วยดาบที่ลับไว้อย่างดี ที่ฝั่งแม่น้ำอโนมานที
รับบริขาร 8 อันสำเร็จด้วยฤทธิ์ซึ่งเกิดขึ้นกลีบปทุม ในเวลาที่กัปยังตั้ง
อยู่ซึ่งพระพรหมนำมาให้แล้วบรรพชา เพราะญาณทัสสนะคือพระโพธิ-
ญาณยังไม่แก่กล้าก่อน จึงไม่รู้จักทางและมิใช่ทางแห่งความเป็นพระ-
พุทธเจ้า เป็นผู้มีสรีระเช่นกับเปรตผู้ไม่มีเนื้อและเลือด เหลือแต่กระดูก
หนังและเอ็น ด้วยอำนาจที่บริโภคอาหามื้อเดียว คำเดียว เป็นผู้เดียว
ทางเดียว และนั่งผู้เดียว บำเพ็ญทุกรกิริยามหาปธานความเพียรใหญ่
โดยนัยดังกล่าวไว้ในปธานสูตรนั่นแล ณ อุรุเวลาชนบทถึง 6 พรรษา.
พระโพธิสัตว์นั้นนึกถึงทุกรกิริยานี้ว่า ไม่เป็นทางแห่งการตรัสรู้ จึงกลับ
เสวยอาหารประณีตในคาม นิคม และราชธานี มีอินทรีย์ผ่องใส มี
มหาปุริสลักษณะ 32 ครบบริบูรณ์ เสด็จเข้าไปยังโพธิมัณฑ์โดยลำดับ
ชนะมารทั้ง 5 ได้เป็นพระพุทธเจ้า.
ก็ในกาลนั้น เราได้เป็นพราหมณ์ชื่อ โชติปาละ ได้กล่าว
กะพระกัสสปสุคตเจ้าว่า การตรัสรู้ของสมณะโล้นจักมีนาแต่
ไหน การตรัสรู้เป็นของได้ยากยิ่ง.
เพราะวิบากของกรรมนั้น เราจึงต้องทำทุกรกิริยามากมาย
อยู่ที่ตำบลอุรุเวลาถึง 6 ปี จากนั้น จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ.
เราไม่ได้บรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุดโดยหนทางนั้น เรา
ถูกกรรมเก่าห้ามไว้ จึงได้แสวงหาโดยทางผิด.

เรามีบุญและบาปสิ้นไปหมดแล้ว เว้นจากความเร่าร้อน
ทั้งปวง ไม่มีความโศก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีอาสวะ
จักปรินิพพานแล.

ในปัญหาข้อที่ 2 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
การกล่าวยิ่ง คือการคำว่า ชื่อว่า อัพภักขานะ. ได้ยินว่า ใน
อดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลศูทร เป็นนักเลงชื่อ มุนาฬิ ผู้ไม่
มีชื่อเสียง ไม่มีความชำนาญอะไรอาศัยอยู่. ครั้งนั้น พระปัจเจกพุทธ-
เจ้านามว่า สุรภิ มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากไปถึงที่ใกล้ของเขาด้วยกิจ
บางอย่าง. เขาพอเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเท่านั้น ได้ด่าว่าด้วยคำ
เป็นต้นว่า สมณะนี้ทุศีล มีธรรมลามก. เพราะวิบากของอกุศลนั้น เขา
จึงได้เสวยทุกข์ในนรกเป็นต้น หลายพันปี ในอัตภาพครั้งสุดท้ายนี้ ใน
ตอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในภพดุสิต พวกเดียรถีย์ปรากฏขึ้น
ก่อน เที่ยวแสดงทิฏฐิ 62 หลอกลวงประชาชนอยู่นั้น จึงได้จุติจาก
ดุสิตบุรี บังเกิดในสกุลสักยราช แล้วได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยลำดับ.
พวกเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะ เสมือนหิ่งห้อยในตอนพระอาทิตย์ขึ้น จึง
ผูกความอาฆาตในพระผู้มีพระภาคเจ้าเที่ยวไปอยู่. สมัยนั้น เศรษฐีใน
กรุงราชคฤห์ผูกตาข่ายในแม่น้ำคงคาแล้วเล่นอยู่ เห็นปุ่มไม้จันทร์แดง
จึงคิดว่า ในเรือนของเรามีไม้จันทร์มากมาย จะให้เอาปุ่มไม้จันทร์แดง
นี้เข้าเครื่องกลึง แล้วให้ช่างกลึงกลึงบาตรด้วยปุ่มไม้จันทร์แดงนั้น แล้ว
แขวนที่ไม้ไผ่ต่อ ๆ ลำกัน ให้ตีกลองป่าวร้องว่า ผู้ใดมาถือเอาบาตรใบนี้
ได้ด้วยฤทธิ์ เราจักเป็นผู้จงรักภักดีต่อผู้นั้น.

ในกาลนั้น พวกเดียรถีย์ปรึกษากันว่า บัดนี้ พวกเราฉิบหายแล้ว
บัดนี้ พวกเราฉิบหายแล้ว นิครนถ์นาฏบุตรกล่าวกะบริษัทของตนอย่างนี้
เราจะไปใกล้ๆ ไม้ไผ่ ทำอาการดังว่าจะเหาะขึ้นในอากาศ พวกท่านจง
จับบ่าเราแล้วห้ามว่า ท่านอย่ากระทำฤทธิ์เพราะอาศัยบาตรที่ทำด้วยไม้
เผาผีเลย เดียรถีย์เหล่านั้นพากันไปอย่างนั้น แล้วได้กระทำเหมือน
อย่างนั้น.
ครั้งนั้น พระปิณโฑลภารทวาชะ และพระโมคคัลลานะ ยืนอยู่บน
ยอดภูเขาหินประมาณ 3 คาวุต กำลังห่มจีวรเพื่อต้องการจะรับบิณฑบาต
ได้ยินเสียงโกลาหลนั้น. บรรดาพระเถระทั้งสองนั้น พระโมคคัลลานะ
ได้กล่าวกะพระปิณโฑลภารทวาชะว่า ท่านจงเหาะไปเอาบาตรนั้น. พระ-
ปิณโฑลภารทวาชะนั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านเท่านั้นที่พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งเลิศของท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย ท่านนั่นแหละ
จงถือเอา. แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านถูกพระโมคคัลลานะบังคับว่า ท่าน
นั่นแหละผมสั่งแล้ว จงถือเอาเถิด จึงทำภูเขาหินประมาณ 3 คาวุต ที่
ตนยืนอยู่ ให้ติดที่พื้นเท้าแล้วให้ปกคลุมนครราชคฤห์เสียทั้งสิ้น เหมือน
ฝาปิดหม้อข้าวฉะนั้น. ครั้งนั้น ชนชาวพระนครแลเห็นพระเถระนั้น ดุจ
ด้ายแดงที่ร้อยในภูเขาแก้วผลึก พากันตะโกนว่า ท่านภารทวาชะผู้เจริญ
ขอท่านจงคุ้มครองพวกกระผมด้วย ต่างก็กลัว จึงได้เอากระด้งเป็นต้น
กั้นไว้เหนือศีรษะ. ทีนั้น พระเถระได้ปล่อยภูเขานั้นลงไว้ในที่ที่ตั้งอยู่
แล้วไปด้วยฤทธิ์ถือเอาบาตรนั้นมา. ครั้งนั้น ชนชาวพระนครได้กระทำ
ความโกลาหลดังขึ้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ในพระเวฬุวนาราม ได้ทรงสดับ

เสียงนั้น จึงตรัสถามพระอานนท์ว่า นั้นเสียงอะไร ? พระอานนท์
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะพระภารทวาชะถือเอาบาตรมา
ได้ ชนชาวพระนครจึงยินดีได้กระทำเสียงโห่ร้อง. ครั้งนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้า เพื่อที่จะทรงปลดเปลื้องการกล่าวร้ายผู้อื่นต่อไป จึงทรงให้
นำบาตรนั้นมาทุบให้แตก แล้วทำการบดให้ละเอียดสำหรับเป็นยาหยอดตา
แล้วทรงให้แก่ภิกษุทั้งหลาย ก็แหละครั้นทรงให้แล้ว จึงทรงบัญญัติ
สิกขาบทว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ควรทำการแสดงฤทธิ์ ภิกษุใด
ทำ ภิกษุนั้นต้องอาบัติทุกกฏ.
ลำดับนั้น เดียรถีย์ทั้งหลายกล่าวกันว่า ข่าวว่าพระสมณโคดม
บัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลาย สาวกเหล่านั้นย่อมไม่ล่วงละเมิดสิกขาบท
ที่บัญญัติไว้นั้น แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต พวกเราจักทำอิทธิปาฏิหาริย์ จึง
พากันเป็นหมวดหมู่ทำความโกลาหลอยู่ในที่นั้น ๆ ครั้งนั้น พระเจ้า-
พิมพิสารได้ทรงสดับดังนั้น จึงเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงไหว้
แล้วประทับนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกเดียรถีย์บ่าวร้องว่า จักทำอิทธิปาฏิหาริย์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร แม้อาตมภาพก็จักทำ.
พระราชาตรัสถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบัญญัติสิกขาบท
แก่สาวกทั้งหลายไว้แล้วมิใช่หรือ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร อาตมภาพจักถามเฉพาะ
พระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงตั้งสินไหมสำหรับผู้กินผลมะม่วงเป็นต้น
ในอุทยานของพระองค์ว่า สินไหมมีประมาณเท่านี้ แม้สำหรับพระองค์ก็
ทรงตั้งรวมเข้าด้วยหรือ.

พระราชาทูลว่า ไม่มีสินไหมสำหรับข้าพระองค์ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อย่างนั้น มหาบพิตร สิกขาบทที่
บัญญัติไว้แล้ว ย่อมไม่มีสำหรับอาตมภาพ.
พระราชาตรัสถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปาฏิหาริย์จักมีที่ไหน
พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ที่โคนต้นคัณฑามพพฤกษ์ ใกล้เมือง
สาวัตถี มหาบพิตร.
พระราชาตรัสว่า ดีละ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลาย
จักคอยดูปาฏิหาริย์นั้น.
ลำดับนั้น พวกเดียรถีย์ได้ฟังว่า นัยว่าปาฏิหาริย์จักมีที่โคนต้น
คัณฑามพพฤกษ์ จึงให้ตัดต้นมะม่วงรอบ ๆ พระนคร. ชาวพระนคร
ทั้งหลาย จึงพากันผูกมัดเตียงซ้อน ๆ กัน และหอคอยเป็นต้น ในสถาน
ที่อันเป็นลานใหญ่ ชาวชมพูทวีปเป็นกลุ่ม ๆ ได้ยืนแผ่ขยายไปตลอด
12 โยชน์ เฉพาะในทิศตะวันออก แม้ในทิศที่เหลือ ก็ประชุมกันอยู่
โดยอาการอันสมควรแก่สถานที่นั้น.
ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อกาลเวลาถึงเข้าแล้ว ในวันเพ็ญเดือน 8
ทรงทำกิจที่ควรทำให้เสร็จแต่เช้าตรู่ แล้วเสด็จไปยังที่นั้นประทับนั่งอยู่
แล้ว. ขณะนั้น นายคนเฝ้าอุทยานชื่อว่าคัณฑะ เห็นมะม่วงสุกดีในรัง
มดแดง จึงคิดว่า ถ้าเราจะถวายมะม่วงนี้แก่พระราชา ก็จะได้ทรัพย์อัน
เป็นสาระมีกหาปณะเป็นต้น แต่เมื่อน้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
สมบัติในโลกนี้และโลกหน้าก็จักเกิดมี ครั้นคิดดังนี้แล้วจึงน้อมถวายแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับมะม่วงนั้นแล้ว ดำรัสสั่ง

พระอานนทเถระว่า เธอจงคั้นผลมะม่วงนี้ทำให้เป็นน้ำปานะ. พระเถระ
ได้กระทำตามพระดำรัสแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดื่ม (น้ำ) ผลมะม่วง
แล้ว ประทานเมล็ดมะม่วงแก่นายคนเฝ้าอุทยานแล้วตรัสว่า จงเพาะเมล็ด
มะม่วงนี้. นายอุยยานบาลนั้นจึงคุ้ยทรายแล้วเพาะเมล็ดมะม่วงนั้น พระ-
อานนทเถระเอาคนโทตักน้ำรด. ขณะนั้น หน่อมะม่วงก็งอกขึ้นมา เมื่อ
มหาชนเห็นอยู่นั่นแหละ ก็ปรากฏเต็มไปด้วยกิ่ง ค่าคบ ดอก ผล และ
ใบอ่อน. ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นเคี้ยวกินผลมะม่วงที่หล่นลงมา ไม่อาจให้
หมดสิ้นได้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนิรมิตรัตนจงกรมบนยอดเขา
มหาเมรุในจักรวาลนี้ จากจักรวาลทิศตะวันออกจนกระทั่งถึงจักรวาลทิศ
ตะวันตก เมื่อจะทรงยังบริษัทมิใช่น้อยให้บันลือสีหนาท จึงทรงกระทำ
มหาอิทธิปาฏิหาริย์ โดยนัยดังกล่าวแล้วในอรรถกถาธรรมบท ทรงย่ำยี
พวกเดียรถีย์ทำให้พวกเขาถึงประการอันผิดแผกไปต่าง ๆ ในเวลาเสร็จ
ปาฏิหาริย์ ได้เสด็จไปยังภพดาวดึงส์ โดยพุทธจริยาที่พระพุทธเจ้าใน
ปางก่อนทรงประพฤติมาแล้ว ทรงจำพรรษาอยู่ในภพดาวดึงส์นั้น ทรง
แสดงพระอภิธรรมติดต่อกันตลอดไตรมาส ทรงทำเทวดามิใช่น้อยมีพระ-
มารดาเป็นประธาน ให้บรรลุพระโสดาปัตติมรรค ออกพระพรรษาแล้ว
เสด็จลงจากเทวโลก อันหมู่เทวดาและพรหมมิใช่น้อยห้อมล้อม เสด็จลง
ยังประตูเมืองสังกัสสะ ได้ทรงกระทำการอนุเคราะห์ชาวโลกแล้ว. ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีลาภสักการะท่วมท้นท่ามกลางชมพูทวีป ประดุจ
แม่น้ำใหญ่ 5 สาย (คือ คงคา อจิรวดี ยมุนา สรภู มหี) ฉะนั้น.

ครั้งนั้น พวกเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะ เป็นทุกข์ เสียใจ คอตก
นั่งก้มหน้าอยู่. ในกาลนั้น อุบาสิกาของพวกเดียรถีย์เหล่านั้น ชื่อนาง
จิญจมาณวิกา ถึงความเป็นผู้เลอเลิศด้วยรูปโฉม เห็นพวกเดียรถีย์
เหล่านั้นนั่งอยู่อย่างนั้น จึงถามว่า ท่านผู้เจริญ เพราะเหตุไร ท่านทั้งหลาย
จึงนั่งเป็นทุกข์ เสียใจอยู่อย่างนี้ ? พวกเดียรถีย์กล่าวว่า น้องหญิง ก็เพราะ
เหตุไรเล่า เธอจึงได้เป็นผู้มีความขวนขวายน้อย. นางจิญจมาณวิกาถามว่า
มีเหตุอะไร ท่านผูเจริญ. เดียรถีย์กล่าวว่า ดูก่อนน้องหญิง จำเดิมแต่กาลที่
พระสมณโคดมเกิดขึ้นมา พวกเราเสื่อมลาภสักการะหมด ชาวพระนคร
ไม่สำคัญอะไร ๆ พวกเรา. นางจิญจมาณวิกาถามว่า ในเรื่องนี้ ดิฉันควร
จะทำอะไร. เดียรถีย์ตอบว่า เธอควรจะยังโทษมิใช่คุณให้เกิดขึ้นแก่พระ-
สมณโคดม. นางจิญจมาณวิกานั้นกล่าวว่า ข้อนั้น ไม่เป็นการหนักใจสำหรับ
ดิฉันดังนี้แล้ว เมื่อจะทำความอุตสาหะในการนั้น จึงไปยังพระเชตวันวิหาร
ในเวลาวิกาล แล้วอยู่ในสำนักของพวกเดียรถีย์ ครั้นตอนเช้า ในเวลาที่
ชนชาวพระนครถือของหอมเป็นต้นไปเพื่อจะถวายบังคมพระผู้มีพระภาค-
เจ้า จึงออกมา ทำทีเหมือนออกจากพระเชตวันวิหาร ถูกถามว่า นอน
ที่ไหน จึงกล่าวว่า ประโยชน์อะไรด้วยที่ที่เรานอนแก่พวกท่าน ดังนี้
แล้วก็หลีกไปเสีย. เมื่อกาลเวลาดำเนินไปโดยลำดับ นางถูกถามแล้ว
กล่าวว่า เรานอนในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดมแล้วออกมา
พวกปุถุชนผู้เขลาเชื่อดังนั้น บัณฑิตทั้งหลายมีพระโสดาบันเป็นต้น ไม่เชื่อ.
วันหนึ่ง นางผูกท่อนไม้กลมไว้ที่ท้องแล้วนุ่งผ้าแดงทับไว้ แล้วไปกล่าว
กะพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประทับนั่งเพื่อทรงแสดงธรรมแก่บริษัทพร้อมทั้ง

พระราชาอย่างนี้ว่า พระสมณะผู้เจริญ ท่าน (มัวแต่) แสดงธรรม ไม่
จัดแจงกระเทียมและพริกเป็นต้น เพื่อเราผู้มีครรภ์ทารกที่เกิดเพราะอาศัย
ท่าน. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนน้องหญิง ท่านกับเราเท่านั้น
ย่อมรู้ภาวะอันจริงแท้. นางจิญจมาณวิกากล่าวว่า อย่างนั้นทีเดียว เรา
กับท่าน 2 คนเท่านั้น ย่อมรู้คราวที่เกี่ยวข้องกันด้วยเมถุน คนอื่นย่อม
ไม่รู้.
ขณะนั้น บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะแสดงอาการเร่าร้อน.
ท้าวสักกะทรงรำพึงอยู่ ทรงรู้เหตุนั้น จึงตรัสสั่งเทวบุตร 2 องค์ว่า
บรรดาท่านทั้งสอง องค์หนึ่งนิรมิตเพศเป็นหนู กัดเครื่องผูกท่อนไม้กลม
ของนางให้ขาด องค์หนึ่งทำมณฑลของลมให้ตั้งขึ้น พัดผ้าที่นางห่มให้
เวิกขึ้นเบื้องบน. เทวบุตรทั้งสองนั้นได้ไปกระทำอย่างนั้นแล้ว. ท่อนไม้
กลมตกลง ทำลายหลังเท้าของนางแตก. ปุถุชนทั้งหลายผู้ประชุมกันอยู่
ในโรงธรรมสภา ทั้งหมดพากันกล่าวว่า เฮ้ย! นางโจรร้าย เจ้าได้ทำการ
กล่าวหาความเห็นปานนี้ แก่พระผู้เป็นเจ้าของโลกทั้ง 3 ผู้เห็นปานนี้
แล้วต่างลุกขึ้นเอากำปั้นประหารคนละที นำออกไปจากที่ประชุม เมื่อ
นางล่วงพ้นไปจากทัสสนะคือการเห็นของพระผู้มีพระภาคเจ้า แผ่นดินได้
ให้ช่อง. ขณะนั้น เปลวไฟจากอเวจีนรกตั้งขึ้น หุ้มห่อนางเหมือนหุ้มด้วย
ผ้ากัมพลแดงที่ตระกูลให้ แล้วซัดลงไปในอเวจีนรก. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้มีลาภสักการะอย่างล้นเหลือ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
พระพุทธเจ้าผู้ทรงครอบงำสิ่งทั้งปวง มีสาวกชื่อว่านันทะ
เรากล่าวตู่พระสาวกชื่อว่านันทะนั้น จึงได้ท่องเที่ยวไปใน
นรก สิ้นกาลนาน.

เราท่องเที่ยวไปในนรกตลอดกาลนานถึงหมื่นปี ได้ความ
เป็นมนุษย์แล้ว ได้รับการกล่าวตู่มากมาย.
เพราะกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมาณวิกาได้กล่าวตู่เรา
ด้วยคำอันไม่เป็นจริงต่อหน้าหมู่ชน.

ในปัญหาข้อที่ 3 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
การกล่าวยิ่ง คือ การด่า ชื่อว่า อัพภักขานะ. ได้ยินว่า ในอดีต
กาล พระโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดที่ไม่ปรากฏชื่อเสียง เป็นนักเลงชื่อว่า
มุนาฬิ เพราะกำลังแรงที่คลุกคลีกับคนชั่ว จึงได้ด่าพระปัจเจกพุทธเจ้า
นามว่า สุรภิ ว่า ภิกษุนี้ทุศีล มีธรรมอันลามก. เพราะวจีกรรมอันเป็น
อกุศลนั้น พระโพธิสัตว์นั้นไหม้อยู่ในนรกหลายพันปี ในอัตภาพครั้ง
สุดท้ายนี้ เกิดเป็นพระพุทธเจ้า ด้วยกำลังแห่งความสำเร็จบารมี 10 ได้
เป็นผู้ถึงลาภอันเลิศและยศอันเลิศ. พวกเดียรถีย์กลับเกิดความอุตสาหะขึ้น
อีก คิดกันว่า พวกเราจักยังโทษมิใช่ยศ ให้เกิดแก่พระสมณโคดมได้
อย่างไรหนอ พากันนั่งเป็นทุกข์เสียใจ.
ครั้งนั้น ปริพาชิกาผู้หนึ่งชื่อว่า สุนทรี เข้าไปหาเดียรถีย์เหล่านั้น
ไหว้แล้วยืนอยู่ เห็นเดียรถีย์ทั้งหลายพากันนิ่งไม่พูดอะไร จึงถามว่า ดิฉัน
มีโทษอะไรหรือ ? พวกเดียรถีย์กล่าวว่า พวกเราถูกพระสมณโคดม
เบียดเบียนอยู่ ท่านกลับมีความขวนขวายน้อยอยู่ ข้อนี้เป็นโทษของท่าน
นางสุนทรีกล่าวว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น ดิฉันจักกระทำอย่างไรในข้อนั้น
เดียรถีย์ทั้งหลายกล่าวว่า ท่านจักอาจหรือที่จะทำโทษมิใช่คุณให้เกิดขึ้น
แก่พระสมณโคดม. นางสุนทรีกล่าวว่า จักอาจซิ พระผู้เป็นเจ้า ครั้น
กล่าวแล้ว จำเดิมแต่นั้นมา ก็กล่าวแก่พวกคนที่ได้พบเห็นว่า ตนนอน

ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดมแล้วจึงออกมา ดังนี้ โดยนัย
ดังกล่าวมาแล้วด่าบริภาษอยู่ ฝ่ายพวกเดียรถีย์ก็ด่าบริภาษอยู่ว่า ผู้เจริญ
ทั้งหลาย จงเห็นกรรมของพระสมณโคดม. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสว่า
ในชาติอื่นๆ ในครั้งก่อน เราเป็นนักเลงชื่อว่ามุนาฬิ ได้
กล่าวตู่พระสุรภิปัจเจกพุทธเจ้าผู้ไม่ประทุษร้าย.
เพราะวิบากของกรรมนั้น เราจงท่องเที่ยวไปในนรกสิ้น
กาลนาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี.
ด้วยเศษกรรมที่เหลือนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราจึงได้รับ
การกล่าวตู่ เพราะเหตุแห่งนางสุนทรี.

ในปัญหาข้อที่ 4 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
การด่า การบริภาษโดยยิ่ง คือโดยพิเศษ ชื่อว่า อัพภักขานะ.
ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ เป็นผู้ศึกษา
เล่าเรียนมาก คนเป็นอันมากสักการบูชา ได้บวชเป็นดาบส มีรากเหง้า
และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร สอนมนต์พวกมาณพจำนวนมาก สำเร็จการ
อยู่ในป่าหิมพานต์. ดาบสรูปหนึ่งได้อภิญญา 5 และสมาบัติ 8 ได้มา
ยังสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น. พระโพธิสัตว์นั้นพอเห็นพระดาบสนั้น
เท่านั้น ถูกความริษยาครอบงำ ได้คำว่าพระฤๅษีผู้ไม่ประทุษร้ายนั้นว่า
ฤๅษีนี้หลอกลวง บริโภคกาม และบอกกะพวกศิษย์ของตนว่า ฤๅษีนี้
เป็นผู้ไม่มีอาจาระเห็นปานนี้. ฝ่ายศิษย์เหล่านั้นก็พากันด่า บริภาษอย่าง
นั้นเหมือนกัน. ด้วยวิบากของอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์นั้นจึงได้
เสวยทุกข์ในนรกอยู่พันปี ในอัตภาพหลังสุดนี้ ได้เป็นพระพุทธเจ้า ถึง

ความเป็นผู้เลิศด้วยลาภและเลิศด้วยยศ ปรากฏดุจพระจันทร์เพ็ญในอากาศ
ฉะนั้น.
แม้ด้วยการด่าว่าถึงอย่างนั้น พวกเดียรถีย์ก็ยังไม่พอใจ ให้นาง
สุนทรีทำการด่าว่าอีก ให้เรียกพวกนักเลงสุรามาให้ค่าจ้างแล้วสั่งว่า พวก
ท่านจงฆ่านางสุนทรีแล้วปิดด้วยขยะดอกไม้ในที่ใกล้ประตูพระเชตวัน พวก
นักเลงสุราเหล่านั้นได้กระทำอย่างนั้น แต่นั้น พวกเดียรถีย์จึงกราบทูล
แก่พระราชาว่า ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่พบเห็นนางสุนทรี. พระราชา
รับสั่งว่า พวกท่านจงค้นดู เดียรถีย์เหล่านั้นจึงเอามาจากที่ที่ตนให้โยน
ไว้แล้วยกขึ้นสู่เตียงน้อยแสดงแก่พระราชา แล้วเที่ยวโฆษณาโทษของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ในพระนครทั้งสิ้นว่า ท่านผู้เจริญ ท่าน
ทั้งหลายจงเห็นการกระทำของพระสมณโคดมและของพวกสาวก. แล้ว
วางนางสุนทรีไว้บนแคร่ในป่าช้าผีดิบ. พระราชารับสั่งว่า ท่านทั้งหลาย
จงค้นหาคนฆ่านางสุนทรี.
ครั้งนั้น พวกนักเลงดื่มสุราแล้วทำการทะเลาะกันว่า เจ้าฆ่านาง-
สุนทรี เจ้าฆ่า. ราชบุรุษทั้งหลาย จึงจับพวกนักเลงเหล่านั้นแสดงแก่
พระราชา พระราชาตรัสถามว่า แน่ะพนาย พวกเจ้าฆ่านางสุนทรีหรือ?
นักเลงเหล่านั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ. พระราชาตรัส
ถามว่า พวกใครสั่ง ? นักเลงทูลว่า พวกเดียรถีย์สั่ง พระเจ้าข้า. พระราชา-
จึงให้นำพวกเดียรถีย์มาแล้วให้จองจำพันธนาการแล้วรับสั่งว่า แน่ะพนาย
พวกเจ้าจงไปป่าวร้องว่า เราทั่งหลายให้ฆ่านางสุนทรีเองแหละ โดยความ
จะให้เป็นโทษแก่พระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าและสาวกทั้งหลายของ
พระองค์ไม่ได้เป็นผู้กระทำ. พวกเดียรถีย์ได้กระทำอย่างนั้นแล้ว. ชาว

พระนครทั้งสิ้นต่างเป็นผู้หมดความสงสัย. พระราชาทรงให้ฆ่าพวกเดียรถีย์
และพวกนักเลงแล้วให้ทิ้งไป. แต่นั้น ลาภสักการะเจริญพอกพูนแก่
พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยยิ่งกว่าประมาณ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาค-
เจ้าจงตรัสว่า
เราเป็นพราหมณ์เรียนจบแล้ว เป็นผู้อันมหาชนสักการะ
บูชา ได้สอนมนต์กะมาณพ 500 คนในป่าใหญ่.
พระฤๅษีผู้กล้า สำเร็จอภิญญา 5 มีฤทธิ์มาก มาในที่นี้
นั้น และเราได้เห็นพระฤๅษีนั้นมาแล้ว ได้กล่าวตู่ว่าท่านผู้ไม่
ประทุษร้าย.
แต่นั้น เราได้บอกกะศิษย์ทั้งหลายว่า ฤๅษีนี้เป็นผู้บริโภค
กาม แม้เมื่อเราบอกอยู่ มาณพทั้งหลายก็พลอยยินดีตาม.
แต่นั้น มาณพทุกคนเที่ยวภิกขาไปทุก ๆ ตระกูล ก็บอก
กล่าวแก่มหาชนว่า ฤๅษีนี้บริโภคกาม.
เพราะวิบากของกรรมนั้น ภิกษุ 500 รูปนี้จึงได้รับการ
กล่าวตู่ด้วยกันทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทรี.

ปัญหาข้อที่ 5 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สิลาเวโธ ได้แก่ ผู้มีจิตอันโทสะกระทบแล้ว กลิ้งศิลาทับ.
ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์และน้องชายเป็นลูกพ่อเดียวกัน เมื่อ
บิดาล่วงลับไปแล้ว พี่น้องทั้งสองนั้น ทำการทะเลาะกัน เพราะอาศัย
พวกทาส จึงได้คิดร้ายกันและกัน พระโพธิสัตว์กดทับน้องชายไว้ด้วย
ความที่ตนเป็นผู้มีกำลัง แล้วกลิ้งหินทับลงเบื้องบนน้องชายนั้น. เพราะ

วิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์นั้นได้เสวยทุกข์ในนรกเป็นต้นหลาย
พันปี ในอัตภาพหลังสุดนี้ได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า.
พระเทวทัตผู้เป็นพระมาตุลาของพระราหุลกุมาร ในชาติก่อนได้
เป็นพ่อค้ากับพระโพธิสัตว์ ในครั้งเป็นพ่อค้าชื่อว่า เสริพาณิช พ่อค้า
ทั้งสองนั้นไปถึงปัฏฏนคาม บ้านอันตั้งอยู่ใกล้ท่าแห่งหนึ่ง จึงตกลงกันว่า
ท่านจงถือเอาถนนสายหนึ่ง แม้เราก็จะถือเอาถนนสายหนึ่ง แล้วทั้งสอง
คนก็เข้าไป. บรรดาคนทั้งสองนั้น ในถนนสายที่พระเทวทัตเข้าไป
ได้มีคน 2 คนเท่านั้น คือภรรยาของเศรษฐีเก่าคนหนึ่ง หลานสาวคนหนึ่ง
ถาดทองใบใหญ่ของคนทั้งสองนั้น ถูกสนิมจับ เป็นของที่เขาวางปนไว้
ในระหว่างภาชนะ. ภรรยาของเศรษฐีเก่านั้นไม่รู้ว่าภาชนะทอง จึงกล่าว
กะท่านเทวทัตนั้นว่า ท่านจงเอาถาดใบนี้ไปแล้วจงให้เครื่องประดับมา.
เทวทัตนั้นจับถาดใบนั้นแล้วเอาเข็มขีดดู รู้ว่าเป็นถาดทอง แล้วคิดว่า
เราจักให้นิดหน่อยแล้วถือเอา จึงไปเสีย.
ลำดับนั้น หลานสาวเห็นพระโพธิสัตว์มายังที่ใกล้ประตู จึงกล่าวว่า
ข้าแต่แม่เจ้า ขอท่านจงให้เครื่องประดับ กัจฉปุฏะ แก่ดิฉัน. ภรรยา
เศรษฐีเท่านั้นจึงให้เรียกพระโพธิสัตว์นั้นมา ให้นั่งลงแล้วจึงให้ภาชนะ
นั้นแล้วจึงกล่าวว่า ท่านจงถือเอาภาชนะนี้แล้วจงให้เครื่องประดับกัจฉปุฏะ
แก่หลานสาวของข้าพเจ้า. พระโพธิสัตว์จับภาชนะนั้น รู้ว่าเป็นภาชนะ
ทอง และรู้ว่า นางถูกเทวทัตนั้นลวง จึงเก็บ 8 กหาปณะไว้ในถุง
เพื่อตน และให้สินค้าที่เหลือ ให้ประดับเครื่องประดับ กัจฉปุฏะ ที่มือ
ของนางกุมาริกาแล้วก็ไป. พ่อค้านั้นหวนกลับมาถามอีก. ภรรยาเศรษฐี
นั้นกล่าวว่า นี่แน่ะพ่อ ท่านไม่เอา บุตรของเราให้สิ่งนี้ ๆ แล้วถือเอา

ถาดใบนั้นไปเสียแล้ว. พ่อค้านั้นพอได้ฟังดังนั้น มีหทัยเหมือนจะแตก
ออก จึงวิ่งติดตามไป. พระโพธิสัตว์ขึ้นเรือแล่นไปแล้ว. พ่อค้านั้น
กล่าวว่า หยุด! อย่าหนี อย่าหนี แล้วได้ทำความปรารถนาว่า เราพึง
สามารถทำให้มันฉิบหายในภพที่เกิดแล้ว ๆ.
ด้วยอำนาจความปรารถนา พ่อค้านั้นเบียดเบียนกันและกันหลาย
แสนชาติ ในอัตภาพนี้ บังเกิดในสักยตระกูล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ แล้วประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์โดยลำดับ ได้
ไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมกับเจ้าอนุรุทธะเป็นต้น แล้ว
บวช เป็นผู้ได้ฌานปรากฏแล้ว ทูลขอพรพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุสงฆ์ทั้งปวง จงสมาทานธุดงค์ 13 มีเที่ยว
บิณฑบาตเป็นวัตรเป็นต้น ภิกษุสงฆ์ทั้งสิ้นจงเป็นภาระของข้าพระองค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาต พระเทวทัตผูกเวร จึงเสื่อมจากฌาน
ต้องการจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้า วันหนึ่ง ยืนอยู่เบื้องบน
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประทับยืนอยู่ที่เชิงเขาเวภาระ1 กลิ้งยอดเขาลงมา ด้วย
อานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า ยอดเขายอดอื่นรับเอายอดเขานั้นที่กำลัง
ตกลงมา. สะเก็ดหินที่ตั้งขึ้นเพราะยอดเขาเหล่านั้นกระทบกัน ปลิวมา
กระทบหลังพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เมื่อชาติก่อน เราฆ่าน้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่ง
ทรัพย์ เราใส่ลงในซอกหิน และบดขยี้ด้วยหิน
เพราะวิบากของกรรมนั้น พระเทวทัตจึงกลิ้งหิน ก้อนหิน
บดขยี้นิ้วหัวแม่เท้าของเรา.


1. ที่อื่นเป็น เขาคิชฌกูฏ.

ปัญหาข้อที่ 6 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
สะเก็ดหินกระทบ ชื่อว่า สกลิกาเวธะ. ได้ยินว่า ในอดีตกาล
พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่ง ในเวลาเป็นเด็ก กำลังเล่นอยู่ที่ถนน
ใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในถนนคิดว่า สมณะโล้น
นี้จะไปไหน จึงถือเอาสะเก็ดหินขว้างไปที่หลังเท้าของท่าน. หนังหลังเท้า
ขาด โลหิตไหลออก. เพราะกรรมอันลามกนั้น พระโพธิสัตว์นั้นได้
เสวยทุกข์อย่างมหันต์ในนรกหลายพันปี แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้เกิด
การห้อพระโลหิตขึ้น เพราะสะเก็ดหินกระทบที่หลังพระบาท ด้วยอำนาจ
กรรมเก่า. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า
ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าในหนทาง จึงขว้างสะเก็ดหินใส่.
เพราะวิบากของกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัต
จึงประกอบนายขมังธนูเพื่อฆ่าเรา.

ปัญหาข้อที่ 7 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ช้างธนปาลกะที่เขาส่งไปเพื่อต้องการให้ฆ่า ชื่อว่า ช้างนาฬาคิรี.
ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นคนเลี้ยงช้าง ขึ้นช้าง
เที่ยวไปอยู่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในหนทางใหญ่ คิดว่า คนหัวโล้น
มาจากไหน เป็นผู้มีจิตถูกโทสะกระทบแล้ว เกิดเป็นดุจตะปูตรึงใจ ได้
ทำช้างให้ขัดเคือง. ด้วยกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงได้เสวยทุกข์ในอบาย
หลายพันปี ในอัตภาพหลังสุดได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า. พระเทวทัต
กระทำพระเจ้าอชาตศัตรูให้เป็นสหายแล้วให้สัญญากันว่า มหาบพิตร
พระองค์ปลงพระชนม์พระบิดาแล้วจงเป็นพระราชา อาตมภาพฆ่าพระ-

พุทธเจ้าแล้วจักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้ อยู่มาวันหนึ่ง ไปยังโรงช้างตาม
ที่พระราชาทรงอนุญาต แล้วสั่งคนเลี้ยงช้างว่า พรุ่งนี้ ท่านจงให้ช้าง
นาฬาคิรีดื่มเหล้า 16 หม้อ แล้วจงปล่อยไปในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต. พระนครทั้งสิ้นได้มีเสียงเอิกเกริกมากมาย. ชน
ทั้งหลายกล่าวกันว่า เราจักดูการต่อยุทธ์ของนาคคือช้าง กับนาคคือ
พระพุทธเจ้า ดังนี้แล้วพากันผูกเตียงและเตียงซ้อน ในถนนหลวง จาก
ด้านทั้งสอง แล้วประชุมกันแต่เช้าตรู่.
ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระแล้ว อัน
หมู่ภิกษุห้อมล้อมเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์. ขณะนั้น พวก
คนเลี้ยงช้างปล่อยช้างนาฬาคิรี โดยทำนองที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. ช้าง
นาฬาคิรีทำลายถนนและทางสี่แพร่งเป็นต้นเดินมา ครั้งนั้น หญิงผู้หนึ่งพา
เด็กเดินข้ามถนน ช้างเห็นหญิงนั้นจึงไล่ติดตาม. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
นี่แน่ะนาฬาคิรี เธอถูกเขาส่งมาเพื่อจะฆ่าหญิงนั้นก็หามิได้ เธอจงมาทางนี้.
ช้างนั้นได้ฟังเสียงนั้นแล้ว ก็วิ่งบ่ายหน้ามุ่งไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแผ่เมตตาอันควรแก่การแผ่ในจักรวาล อันหา
ประมาณมิได้ ในสัตว์อันหาที่สุดมิได้ ไปในช้างนาฬาคิรีตัวเดียวเท่านั้น.
ช้างนาฬาคิรีนั้นอันพระเมตตาของพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกต้องแล้ว กลาย
เป็นช้างที่ไม่มีภัย หมอบลงแทบบาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงวางพระหัตถ์ลงบนกระหม่อมของช้างนาฬาคิรีนั้น. ครั้งนั้น
เทวดาและพรหมเป็นต้นเกิดจิตอัศจรรย์ไม่เคยเป็น จึงพากันบูชาด้วย
ดอกไม้และเกสรดอกไม้เป็นต้น. ในพระนครทั้งสิ้น ได้มีกองทรัพย์

ประมาณถึงเข่า. พระราชารับสั่งให้เที่ยวตีกลองป่าวร้อง ทรัพย์ที่ประตู
ด้านทิศตะวันตกจงเป็นของชาวพระนคร ทรัพย์ที่ประตูด้านทิศตะวันออก
จงนำเข้าท้องพระคลังหลวง. คนทั้งปวงกระทำอย่างนั้นแล้ว. ในครั้งนั้น
ช้างนาฬาคิรีได้มีชื่อว่า ธนบาล. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปยังพระ-
เวฬุวนาราม. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า.
ในกาลก่อน เราได้เป็นนายควาญช้าง ได้ทำช้างให้โกรธ
พระปัจเจกมุนีผู้สูงสุด ผู้กำลังเที่ยวบิณฑบาตรอยู่นั้น.
เพราะวิบากของกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีตัวดุร้ายหมุนเข้า
มาประจัญในบุรีอันประเสริฐ ชื่อว่า คิริพพชะ คือกรุง
ราชคฤห์.

ปัญหาข้อที่ 8 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
การผ่าฝีด้วยศัสตรา คือ ตัดด้วยผึ่ง ด้วยศาสตรา ชื่อว่า สัตถัจ-
เฉทะ.
ได้ยินว่า ในอดีตกาลพระโพธิสัตว์ได้เป็นพระราชาในปัจจันต-
ประเทศ พระโพธิสัตว์นั้นเป็นนักเลง ด้วยอำนาจการคลุกคลีกับคนชั่ว
และด้วยอำนาจการอยู่ในปัจจัยตประเทศ เป็นคนหยาบช้า อยู่มาวันหนึ่ง
ถือมีดเดินเท้าเปล่า เที่ยวไปในเนือง ได้เอามีดฆ่าฟันคนผู้ไม่มีความผิด
ได้ไปแล้ว. ด้วยวิบากของกรรมอันลามกนั้น พระโพธิสัตว์นั้นไหม้ใน
นรกหลายพันปี เสวยทุกข์ในทุคติ มีสัตว์เดียรัจฉานเป็นต้น ด้วยวิบาก
ที่เหลือ ในอัตภาพหลังสุดแม้ได้เป็นพระพุทธเจ้า หนึ่งก็ได้เกิดห้อพระ-
โลหิตขึ้น เพราะก้อนหินที่พระเทวทัตกลิ้งใส่กระทบเอา โดยนัยดังกล่าว
ในหนหลัง. หมอชีวกผ่าหนังที่บวมขึ้นนั้นด้วยจิตเมตตา. การทำพระ-

โลหิตให้ห้อขึ้นของพระเทวทัตผู้มีจิตเป็นข้าศึก ได้เป็นอนันตริยกรรม.
การผ่าหนังที่บวมขึ้นของหมอชีวกผู้มีจิตเมตตา ได้เป็นบุญอย่างเดียว.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เราเป็นคนเดินเท้า ฆ่าคนทั้งหลายด้วยหอก ด้วยวิบาก
ของกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อยู่ในนรกอย่างรุนแรง.
ด้วยเศษของกรรมนั้น มาบัดนี้เขาจึงตัดหนังที่เท้าของเรา
เสียสิ้น เพราะยังไม่หมดกรรม.

ปัญหาข้อที่ 9 มีวินิจฉัยต่อไปนี้.
อาพาธที่ศีรษะ คือเวทนาที่ศีรษะ ชื่อว่า สีสทุกขะ ทุกข์ที่ศีรษะ.
ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นชาวประมง ในหมู่บ้าน
ชาวประมง. วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์นั้นกับพวกบุรุษชาวประมง ไปยัง
ที่ที่ฆ่าปลา เห็นปลาทั้งหลายตาย ได้ทำโสมนัสให้เกิดขึ้นในข้อที่ปลาตาย
นั้น แม้บุรุษชาวประมงที่ไปด้วยกัน ก็ทำความโสมนัสให้เกิดขึ้นอย่างนั้น
เหมือนกัน. ด้วยอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ได้เสวยทุกข์ในอบายทั้ง 4
ในอัตภาพหลังสุดนี้ ได้บังเกิดขึ้นตระกูลศากยราช พร้อมกับบุรุษเหล่านั้น
แม้จะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าโดยลำดับแล้ว ก็ยังได้เสวยความ
เจ็บป่วยที่ศีรษะด้วยตนเอง และเจ้าศากยะเหล่านั้น ถึงความพินาศกันหมด
ในสงความของเจ้าวิฑูฑภะ โดยนัยดังกล่าวไว้ในอรรถกถาธรรมบท. ด้วย
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เราเป็นลูกชาวประมงในหมู่บ้านชาวประมง เห็นปลา
ทั้งหลายถูกฆ่า ได้ยังความโสมนัสดีใจให้เกิดขึ้น.

เพราะวิบากของกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะได้มีแก่เรา
แล้ว ในคราวที่เจ้าวิฑูฑภะฆ่าสัตว์ทั้งหมด (คือเจ้าศากยะ)
แล้ว.

ปัญหาข้อที่ 10 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
การกินข้าวสารแห่งข้าวแดงในเมืองเวสาลี ชื่อว่า ยวขาทนะ การ
กินข้าวแดง. ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่ง
เพราะอำนาจชาติและเพราะความเป็นอันธพาล เห็นสาวกทั้งหลายของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าผุสสะ ฉันข้าวน้ำอันอร่อย และโภชนะแห่งข้าวสาลี
เป็นต้น จึงด่าว่า เฮ้ย ! พวกสมณะโล้น พวกท่านจงกินข้าวแดงเถอะ
อย่ากินโภชนะแห่งข้าวสาลีเลย. เพราะวิบากแห่งอกุศลกรรมนั้น พระ-
โพธิสัตว์จึงเสวยทุกข์อยู่ในอบายทั้ง 4 หลายพันปี ในอัตภาพหลังสุดนี้
ถึงความเป็นพระพุทธเจ้าโดยลำดับ เมื่อทรงกระทำความอนุเคราะห์ชาว
โลก เสด็จเที่ยวไปในคาม นิคม และราชธานีทั้งหลาย. สมัยหนึ่ง เสด็จ
ถึงโคนไม้สะเดาอันสมบูรณ์ด้วยกิ่งและค่าคบ ณ ที่ใกล้เวรัญชพราหมณ-
คาม. เวรัญชพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อไม่อาจเอาชนะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้โดยเหตุหลายประการ ได้เป็นพระโสดาบันแล้ว
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การเสด็จเข้าจำพรรษาในที่นี้แหละ
ย่อมควร. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับคำนิมนต์โดยดุษณีภาพ.
ครั้นจำเดิมแต่วันรุ่งขึ้นไป มารผู้มีบาปได้กระทำการดลใจชาวบ้าน
เวรัญชพราหมณคามทั้งสิ้น ไม่ได้มีแม้แต่คนเดียวผู้จะถวายภิกษาสักทัพพี
หนึ่ง แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จเข้าไปบิณฑบาต เพราะเนื่องด้วยมาร
ดลใจ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีบาตรเปล่า อันภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมเสด็จ

กลับมา. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเสด็จกลับมาอย่างนั้น พวกพ่อค้าม้า
ที่อยู่ในที่นั้นนั่นแหละ ได้ถวายทานในวันนั้น จำเดิมแต่วันนั้นไป ได้
นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุ 500 เป็นบริวาร แล้วทำการแบ่งจาก
ภิกษุทั้งหลาย. เทวดาในพันจักรวาลแห่งจักรวาลทั้งสิ้น พากันใส่ทิพโอชะ
เหมือนในวันที่นางสุชาดาหุงข้าวปายาส. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยแล้ว
พระองค์เสวยข้าวแดงตลอดไตรมาส ด้วยประการอย่างนี้ เมื่อล่วงไป 3
เดือน การดลใจของมารก็หายไปในวันปวารณา เวรัญชพราหมณ์ระลึก
ขึ้นได้ถึงความสลดใจอย่างใหญ่หลวง จึงถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์ มี
พระพุทธเจ้าเป็นประธาน ถวายบังคมแล้วขอให้ทรงอดโทษ ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระ-
พุทธเจ้า พระนามว่า ผุสสะ ว่า พวกท่านจงเคี้ยว จงกินแต่
ข้าวแดง อย่ากินข้าวสาลีเลย
ด้วยวิบากของกรรมนั้น เราจึงได้เคี้ยวกินข้าวแดงตลอด
ไตรมาส เพราะว่า ในคราวนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว
จึงได้อยู่ในบ้านเวรัญชา.

ปัญหาข้อที่ 11 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
อาพาธที่หลัง ชื่อว่า ปิฏฐิทุกขะ ทุกข์ที่หลัง. ได้ยินว่า ในอดีต-
กาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลคหบดี สมบูรณ์ด้วยกำลัง ได้เป็นคน
ค่อนข้างเตี้ย. สมัยนั้น นักต่อสู้ด้วยการต่อสู้ด้วยมวยปล้ำคนหนึ่ง เมื่อ
การต่อสู้ด้วยมวยปล้ำกำลังดำเนินไปอยู่ในคามนิคม และราชธานีทั้งหลาย

ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ได้ทำพวกบุรุษล้มลง ได้รับชัยชนะ มาถึงเมืองอัน
เป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์เข้าโดยลำดับ ได้ทำพวกคนในเมืองแม้นั้นให้
ล้มลงแล้ว เริ่มจะไป. คราวนั้น พระโพธิสัตว์คิดว่า ผู้นี้ได้รับชัยชนะ
ในที่เป็นที่อยู่ของเราแล้วก็จะไป จึงมายังบริเวณพระนครในที่นั้น ปรบ
มือแล้วกล่าวว่า ท่านจงมา จงต่อสู้กับเราแล้วค่อยไป นักมวยปล้ำนั้น
หัวเราะแล้วคิดว่า พวกบุรุษใหญ่โตเรายังทำให้ล้มได้ บุรุษผู้นี้เป็นคนเตี้ย
มีธาตุเป็นคนเตี้ย ย่อมไม่เพียงพอแม้แก่มือข้างเดียว จึงปรบมือบันลือ
แล้วเดินมา. คนทั้งสองนั้นจับมือกันและกัน พระโพธิสัตว์ยกนักมวยปล้ำ
คนนั้นขึ้นแล้วหมุนในอากาศ เมื่อจะให้ตกลงบนภาคพื้น ได้ทำลาย
กระดูกไหล่แล้วให้ล้มลง. ชาวพระนครทั้งสิ้นทำการโห่ร้อง ปรบมือ
บูชาพระโพธิสัตว์ด้วยผ้าและอาภรณ์เป็นต้น. พระโพธิสัตว์ให้นักต่อสู้
ด้วยมวยปล้ำนั้นตรง ๆ กระทำกระดูกไหล่ให้ตรงแล้วกล่าวว่า ท่านจงไป
ตั้งแต่นี้ไปท่านจงอย่ากระทำกรรมเห็นปานนี้ แล้วส่งไป ด้วยวิบากของ
กรรมนั้น พระโพธิสัตว์ได้เสวยทุกข์ที่ร่างกายและศีรษะเป็นต้น ในภพ
ที่เกิดแล้ว ๆ ในอัตภาพหลังสุด แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้เสวยทุกข์
มีการเสียดแทงที่หลังเป็นต้น. เพราะฉะนั้น เมื่อความทุกข์ที่เบื้องพระ-
ปฤษฎางค์เกิดขึ้นในกาลบางคราว พระองค์จึงตรัสกะพระสารีบุตรและ
พระโมคคัลลานะว่า จำเดิมแต่นี้ไป พวกเธอจงแสดงธรรม แล้วพระองค์
ทรงลาดสุคตจีวรแล้วบรรทม. ขึ้นชื่อว่ากรรมเก่า แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่พ้น
ไปได้. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เมื่อการปล้ำกันดำเนินไปอยู่ เราได้เบียดเบียนบุตรนัก-
มวยปล้ำ (ให้ลำบาก)

ด้วยวิบากของกรรมนั้น ความทุกข์ที่หลัง (ปวดหลัง)
จึงได้มีแก่เรา.

ปัญหาข้อที่ 12 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
การถ่ายด้วยการลงพระโลหิต ชื่อว่า อติสาระ โรคบิด. ได้ยินว่า
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลคหบดี เลี้ยงชีพด้วยเวชกรรม
พระโพธิสัตว์นั้น เมื่อจะเยียวยาบุตรของเศรษฐีคนหนึ่งผู้ถูกโรคครอบงำ
จึงปรุงยาแล้วเยียวยา อาศัยความประมาทในการให้ไทยธรรมของบุตร
เศรษฐีนั้น จึงให้โอสถอีกขนานหนึ่ง ได้กระทำการถ่ายโดยการสำรอก
ออก เศรษฐีได้ให้ทรัพย์เป็นอันมาก. ด้วยวิบากของกรรมนั้น พระ-
โพธิสัตว์จึงได้ถูกอาพาธด้วยโรคลงโลหิตครอบงำในภพที่เกิดแล้ว ๆ ใน
อัตภาพหลังสุดแม้นี้ ในปรินิพพานสมัย จึงได้มีการถ่ายด้วยการลงพระ-
โลหิต ในขณะที่เสวยสูกรมัททวะที่นายจุนทะกัมมารบุตรปรุงถวาย พร้อม
กับพระกระยาหารอันมีทิพโอชะที่เทวดาในจักรวาลทั้งสิ้นใส่ลงไว้. กำลัง
ช้างแสนโกฏิเชือก ได้ถึงความสิ้นไป. ในวันเพ็ญเดือน 6 พระผู้มี-
พระภาคเจ้าเสด็จดำเนินไปเพื่อต้องการปรินิพพานในเมืองกุสินารา ประ-
ทับนั่งในที่หลายแห่ง ระหายน้ำ ทรงดื่มน้ำ ทรงถึงเมืองกุสินาราด้วย
ความลำบากอย่างมหันต์ แล้วเสด็จปรินิพพานในเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง.
แม้พระผู้เป็นเจ้าของไตรโลกเห็นปานนี้ กรรมเก่าก็ไม่ละเว้น. ด้วยเหตุ
นั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาบุตรของเศรษฐี ด้วย
วิบากของกรรมนั้น โรคปักขันทิกาพาธจึงมีแก่เรา.

พระชินเจ้าทรงบรรลุอภิญญาพละทั่งปวง ทรงพยากรณ์
ต่อหน้าภิกษุสงฆ์ ณ อโนดาตสระใหญ่ ด้วยประการฉะนี้แล.

อปทานฝ่ายอกุศล ชื่อว่าเป็นอันจบบริบูรณ์ ด้วยการตั้งหัวข้อ
ปัญหาที่ท่านให้ปฏิญญาไว้ ด้วยประการอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า อิตฺถํ สุทํ อธิบายว่า ด้วยประการฉะนี้ คือ ด้วยนัยที่กล่าวไว้
ในหนหลัง โดยประการนี้. ศัพท์ว่า สุทํ เป็นนิบาต มาในอรรถว่า
ทำบทให้เต็ม. พระผู้มีพระภาคเจ้า คือพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระมหา-
กรุณาพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยภาคยธรรม เป็นพระมหาสัตว์
ผู้บำเพ็ญบารมีมาแล้ว ทรงประกอบด้วยคุณ มีอาทิอย่างนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีภาคบุญ คือโชค ผู้หักราน
กิเลส ผู้ประกอบด้วยภาคธรรมทั้งหลาย ผู้ทรงด้วยภาคธรรม
ทั้งหลาย ผู้ทรงจำแนกธรรม ผู้คบแล้ว ผู้คายการไปในภพ
ทั้งหลายแล้ว เพราะเหตุนั้น จึงทรงพระนามว่า ภควา.

ทรงเป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นท้าวสักกะยิ่งกว่าท้าวสักกะ ทรงเป็น
พรหมยิ่งกว่าพรหม ทรงเป็นพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าพระพุทธเจ้า เมื่อจะทรง
ยกย่อง คือทำให้ปรากฏซึ่งพุทธจริยา คือเหตุแห่งพระพุทธเจ้าของ
พระองค์ จึงได้ภาษิตคือตรัสธรรมบรรยาย คือพระสูตรธรรมเทศนา
ชื่อว่า พุทธาปทานิยะ คือ ชื่อว่า ประกาศเหตุแห่งพระพุทธเจ้าแล.
พรรณนาพุทธาปทาน
ในวิสุทธชนวิลาสินี อรรถกถาอปทาน
จบบริบูรณ์เท่านี้

2. ปัจเจกพุทธาปทาน


ว่าด้วยเหตุให้สำเร็จเป็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า

[2] ลำดับนี้ ขอท่านทั้งหลายจงฟัง ปัจเจกสัมพุทธาปทาน.
พระอานนท์เวเทหมุนี ผู้มีอินทรีย์อันสำรวมแล้ว ได้ทูลถาม
พระตถาคตผู้ประทับอยู่ในพระวิหารเชตวันว่า ได้ทราบว่า
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้ามีจริงหรือ เพราะเหตุไร ท่านเหล่านั้น
จึงได้เป็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนักปราชญ์.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระสัพพัญญู ผู้ประ-
เสริฐ ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ตรัสตอบท่านพระอานนท์ผู้เจริญ
ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าสร้าง
บุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าทั้งปวง ยังไม่ได้โมกขธรรมใน
ศาสนาของพระชินเจ้า.
ด้วยมุขคือความสังเวชนั้นนั่นแล ท่านเหล่านั้นเป็น
นักปราชญ์ มีปัญญาแก่กล้า ถึงจะเว้นพระพุทธเจ้าก็ย่อม
บรรลุปัจเจกโพธิญาณได้ แม้ด้วยอารมณ์นิดหน่อย.
ในโลกทั้งปวง เว้นเราเสียแล้ว ไม่มีใครเสมอกับพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าได้เลย เราจักบอกคุณเพียงสังเขปนี้ ของท่าน
เหล่านั้น ท่านทั้งหลายจงฟังคุณของพระมหามุนีให้ดี.
ท่านทั้งปวงผู้ปรารถนาพระนิพพาน อันเป็นโอสถวิเศษ
จงมีใจผ่องใส ฟังถ้อยคำอันดีอ่อนหวานไพเราะ ของพระ-
ปัจเจกสัมพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณใหญ่ ตรัสรู้ด้วยตนเองเถิด.